บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) วางแผนปี 52 ใช้เงินลงทุนระดับใกล้เคียง 1 พันล้านบาทลงทุนใหญ่ 2 ด้าน คือ ซื้อเรือเดินทะเล 1 ลำ ขนาดระวาง 3 หมื่นเดทเวทตันจากต่างประเทศ เพื่อใช้ขนย้ายถ่านหินจากอินโดนีเซียมาไทย รวมทั้งจะใช้ลงทุนเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียที่ขณะนี้กำลังเจรจากับ 4-5 ราย ก่อนจะสรุปให้เหลือเพียงรายเดียว
เงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากเงินกู้สถาบัน 70% และกระแสเงินสดอีก 30% นอกจากนี้ยังจะมีเงินจากการใช้สิทธิ์วอแรนต์ที่จะครบกำหนดครั้งสุดท้ายในปี 53 อีกประมาณ 595 ล้านบาท ซึ่งเริ่มทยอยเข้ามาบางส่วนแล้ว
"ถือเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทในรอบ 15 ปี คงเป็นการกู้ 70% และที่เหลือใช้กระแสเงินสด นอกจากนี้เรายังจะมีเงินที่ได้จากการใช้สิทธิ์วอแรนต์ที่จะครบกำหนดครั้งสุดท้ายในปี 53 อีกประมาณ 595 ล้านบาท ซึ่งเริ่มทยอยเข้ามาบางส่วนแล้ว"นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการผู้จัดการ UMS
ผู้บริหาร UMS ระบุว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างจัดทำแผนธุรกิจในปี 52 คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ประมาณปลายเดือน ม.ค.นี้ และยังอยู่ระหว่างรอดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการทำงานของรัฐบาลก่อนประเมินเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 52 แต่เชื่อว่าการใช้ถ่านหินยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องจากปี 51 ที่มั่นใจว่าทำรายได้เติบโตเกิน 30% จากที่มีรายได้ 2.5 พันล้านบาทในปี 50
สำหรับแผนซื้อเรือเดินสมุทรจากต่างประเทศนั้น เป็นการปรับแนวทางธุรกิจจากปัจจุบันบริษัทใช้เรือเช่าเหมาลำที่คิดเป็นค่าใช้จ่ายรวมในแต่ละปีค่อนข้างสูง หากมีเรือเป็นของตัวเองก็น่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้มาก
"เราเตรียมเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับการซื้อเรือจากต่างประเทศ ใช้ขนย้ายถ่านจากอินโดฯ ทั้งปัจจุบัน และในอนาคตหากบริษัทมีการทำเหมืองถ่านหินเอง การสรุปการซื้อเรือเดินทะเลขึ้นอยู่กับขนาดและราคา ซึ่งเราพยายามจะทำให้ Supply Chain ลดลง"นายชัยวัฒน์ กล่าว
ส่วนการลงทุนเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียนั้น ขณะนี้กำลังเจรจากับ 4-5 ราย ก่อนจะสรุปให้เหลือเพียงรายเดียวภายในปีนี้
"เรื่องทำเหมืองที่อินโดฯ ก็อยากสรุปให้ได้ภายในปีนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับราคา ซึ่งมองว่าการลงทุนทำเหมืองถ่านหินน่าจะคุ้มค่า เพราะเชื่อว่าไม่ว่าราคาน้ำมันจะมีความผันผวน แต่ความต้องการใช้ถ่านหินก็ยังมีอยู่ คนที่ใช้ถ่านหินก็จะใช้ต่อไป เพราะยังไงๆ ราคาน้ำมันก็ยังแพงกว่าราคาถ่านหินอยู่ ส่วนเรืองที่ประเทศอินโดนีเซียมีแผ่นดินไหวบ่อยไม่กลัวว่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจ....ก็โอเค ตรงไหนไหวมาก ไหวบ่อยก็ราคาถูก ก็ต้องบริหารความเสี่ยงเอา"นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจของบริษัทในปี 52 น่าจะยังพอไปได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศด้วย ซึ่งขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าทางรัฐบาลจะกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาหรือกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร และจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนไปในทิศทางไหน รวมถึงทิศทางเศรษฐกิจโลกด้วย