บมจ. ริช เอเชีย สตีล(RICH) ยอมรับสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวในปี 52 ส่งผลกระทบยอดจำหน่ายเหล็ก บริษัทจึงมุ่งรักษาฐานตลาดในประเทศ และขยายการส่งออกเพิ่มเป็นสัดส่วน 5-10% โดยเพิ่มตลาดในเวียดนามและลาว เพื่อผลักดันให้ทำรายได้ในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาทที่เคยทำได้ในปีก่อน และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้ได้ใกล้เคียงกันที่ราว 2-3% พร้อมควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ขณะที่ชะลอการลงทุนขยายกำลังการผลิต หลังปีก่อนเพิ่มการผลิตเหล็กรูปพรรณ
ในปี 51 บริษัททำรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในระดับ 1 หมื่นล้านบาท เหลือเพียงประมาณครึ่งเดียว จากผลกระทบราคาเหล็กปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว และธุรกิจชะลอตัวจากผลวิกฤตเศรษฐกิจโลก
"ปีนี้เราจะรักษาตลาดเดิมไว้ มองรายได้ปี 52 เราจะได้อย่างน้อย 5 พันล้านบาท...สิ่งที่สำคัญที่สุด การลงทุนของภาครัฐ ที่ต้องทำให้เกิดการเดินหน้า จะได้ช่วยเพิ่มดีมานด์ในตลาด"นายสมเกียรติ วงศาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ RICH กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายสมเกียรติ ขณะนี้ราคาเหล็กเริ่มทยอยปรับขึ้นมาบ้าง แต่ตลาดในประเทศก็ยังรอดูเรื่องดีมานด์ แต่ตลาดต่างประเทศขยับขึ้นแล้ว แต่เห็นว่าเรื่องที่สำคัญ คือ มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐเป็นสำคัญ ซึ่งจะทำให้เกิดดีมานด์ในประเทศ ซึ่งเป็นการกระตุ้นทุกส่วน ได้แก่ การใช้จ่ายของภาครัวเรือน โครงการเมกะโปรเจ็คต์ เป็นต้น
เพราะขณะนี้ดีมานด์ในประเทศลดลง เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ทุกคน wait and see จึงอยู่ที่ภาครัฐจะกระตุ้นความเชื่อมั่นเศรษฐกิจอย่างไร ดังนั้น ปีนี้สิ่งที่หวังคือเรื่องความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ถ้าทำให้ทุกคนมั่นใจ ประชาชนจะเพิ่มการบริโภค
สำหรับตลาดในประเทศบริษัทมีฐานลูกค้าในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนใหญ่ และบางส่วนในกลุ่มอุตสาหกรรม ขณะที่ตลาดต่างประเทศ ที่เริ่มทำการตลาดเมื่อปีที่แล้ว แต่เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจเกิดชึ้นทั่วโลก บริษัทจึงต้องใช้ความพยายามมากขึ้น ซึ่งปีที่แล้ว ก็เปิดตลาดในแถบภูมิภาคนี้ และตลาดตะวันออกกลาง ปี 52 ก็พยายามทำให้ได้ตามเป้า คาดว่าจะส่งออกได้ 5-10% ของยอดขาย ถือว่าเป็นการส่งออกจริงจังเป็นปีแรกของบริษัทจากปีที่แล้วพยายามที่จะเจาะตลาด
ทั้งนี้ มองตลาดภาพรวมในปีนี้เฉลี่ยโตขึ้น 2-3% โดยมองว่าครึ่งปีแรกน่าจะติดลบ ครึ่งปีหลังน่าจะเป็นบวก โดยในประเทศราคาเหล็กเส้นอยู่ที่ 20 กว่าบาท/กก. ซึ่งอาจขยับขึ้นเล็กน้อยก็ขึ้นกับภาวะตลาดโลก โดยมองว่าจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่สามารถควบคุมซัพพลายได้
"ในส่วนการบริหารภายในเราไม่หนักใจ เรายังควบคุมได้ในภาวะปกติได้ บริษัทก็ยังมีสภาพคล่องดีอยู่ ปีนี้เราก็พยายามรักษาระดับมาริ์จิ้นไว้ให้ได้ใกล้เคียงของเดิม เราก็ต้องควบคุมต้นทุน ทั้งในส่วนโสหุ้ยและบริหารสต็อกอย่างน้อย ประมาณ 1 เดือน"นายสมเกียรติ กล่าว
บริษัทยังไม่มีการปลดพนักงานประจำ แต่ในส่วนพนักงานรายวันอาจจะลดลงขึ้นอยู่กับสภาพงาน บริษัทพยายามรักษาบุคลากรไว้ เพราะพนักงานได้รับการฝึกฝนทักษะการทำงาน แม้ว่าปีนี้การใช้กำลังการผลิตจะลดลงไปเหลือ 30-40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดที่มี 2.15 แสนตัน/ปี(เหล็กเส้น เหล็กรูปพรรณ)จากปีที่แล้วมีอัตราการใช้กำลังการผลิตกว่า 50% ซึ่งเดิมเคยคาดว่าจะใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่ แต่ปรากฏว่าภาวะเศรษฐกิจกลับไม่ดีในครึ่งปีหลัง
"สถานการณ์ปี 52 มองแล้วน่าจะดีกว่าปี 51 ทั้งในเรื่องกำไร ยอดขาย ทำได้ดีกว่า...ที่เกิดผลขาดทุนในปี 51เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าราคาเหล็กจะปรับลดลงอย่างรวดเร็วภายใน 2 เดือน"นายสมเกียรติ กล่าว
ส่วนแผนการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมธุรกิจนั้น ภาวะขณะนี้ทุกคนคงพับโครงการหาพันธมิตรไว้ก่อน บริษัทเองก็ยังไม่ได้รับการติดต่อหรือติดต่อกับใคร ต้องจัดการปัญหาตัวเองให้จบ จึงเชื่อว่าทุกคนน่าจะมีแนวคิดเดียวกัน เพราะดูจากหลายๆบริษัทเรื่องการควบรวมกิจการก็จะพับไว้ก่อน
อนึ่ง ในไตรมาส 3/51 บริษัทมีผลขาดทุน 111.79 ล้านบาท และในงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 38.39 ล้านบาท
*รุกธุรกิจเสาเข็มคอนกรีต รับโครงการรถไฟฟ้า
กรรมการผู้จัดการ RICH กล่าวว่า บริษัทเข้าซื้อหุ้น บริษัท ไทย เนชั่นแนล โปรดัคท์ จำกัด (TNP) สัดส่วน 100% ซึ่งใช้เงินไม่เกิน 650 ล้านบาท โดยระหว่างนี้อยู่ขั้นตอนโอนหุ้นคาดว่าจะเรียบร้อยและรายได้ของ TNP จะเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง
TNP ดำเนินธุรกิจผลิตเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรงหล่อสำเร็จแบบแรงเหวี่ยง (Spun pile) ซึ่งปัจจุบันมีการนำไปใช้ในการก่อสร้างมากขึ้น โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม อาคารสูง ทางด่วน ทางยกระดับสะพาน หรือโครงการรถไฟฟ้า และโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงสูง
นายสมเกียรติ คาดว่า โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าของภาครัฐจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และจะทำให้ธุรกิจเสาเข็มคอนกรีตเติบโต ทำให้บริษัทคาดหวังว่า TNP จะมีรายได้เข้ามาช่วยเสริมรายได้รวมของบริษัทเป็นอย่างดี โดยบริษัทคาดว่าจะเข้าถือหุ้นอย่างเป็นทางการตามแผนงานราวกลางปีหรือครึ่งปีหลัง จะเริ่มนับเป็นรายได้ของบริษัทในครึ่งปีหลังของปีนี้
บริษัทเชื่อว่ารายได้ของ TNP ในปี 52 จะมากกว่า ปี 51 โดยเฉพาะหากโครงการรถไฟฟ้าเริ่มลงมือก่อสร้างก็จะส่งผลดี เพราะว่าบริษัทมีศักยภาพโครงการภาครัฐ และธุรกิจเสาเข็มเป็นรายได้ที่รับรู้ได้เร็ว
ขณะเดียวกันในความเห็นภาคธุรกิจก็ยอมรับรัฐบาลชุดนี้ อย่างน้อยก็มีความเชื่อมั่นว่าจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้โตได้ หลังจ่ากนี้ก็คอยดูฝีมือรัฐบาลนี้ ภาคเอกชนฝากความหวังกับรัฐบาล เพราะเห็นว่าโครงการเมกะโปรเจ็คต์จะเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เร็ว