โบรกฯ ส่วนใหญ่แนะ"ซื้อ"PTTEP มองระยะยาวโอกาสโตต่อเนื่องแม้ปี 52 กำไรหด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 13, 2009 16:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เสียงแตก แต่ส่วนใหญ่ยังแนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) แม้ผลประกอบการปี 52 ประเมินว่าจะลดลงจากปีก่อน แต่ในระยะยาวช่วง 5 ปียังมีแนวโน้มเติบโต และการลงทุนเพื่อขุดเจาะและสำรวจปิโตรเลียมช่วยหนุนธุรกิจ รวมทั้งมองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนราคาน้ำมันที่ปรับลงไปมากแล้ว

แต่ด้านที่แนะนำให้"ถือ"เห็นว่า ปี 52 รายได้และกำไรลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันที่ประเมินว่าปีนี้อยู่ในระดับต่ำ และราคาขณะนี้ใกล้เคียงกับราคาเหมาะสมที่แต่ละโบรกเกอร์ที่ประเมินไว้ Upside แทบไม่มี จึงไม่เห็นว่าควรจะเสี่ยงเข้าไปลงทุน แต่หากราคาต่ำกว่า 100 บาทก็น่าสนใจ

ราคาหุ้น PTTEP ช่วงเช้าปิดที่ 105.00 บาท ลบ 3.00 บาท (-2.78%) จากราคาต่ำสุดเช้านี้ที่ 103 บาท ต่ำสุดในปี 52 ที่ราคาหุ้นได้ไต่ลงมาตั้งแต่ 7 ม.ค. จากปี 51 ที่ราคาลงไปต่ำสุดที่ 74.50 บาท (28 ต.ค.51)

          โบรกเกอร์         คำแนะนำ         ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          บล.เคจีไอ          ซื้อ               127.00
          บล.เกียรตินาคิน      ซื้อ               125.00
          บล.ทิสโก้           ซื้อ               122.00
          บล.สินเอเซีย        ซื้อ               119.00
          บล.กิมเอ็ง          เต็มมูลค่า          115.00
          บล.โกลเบล็ก        ถือ               100.00

นายกิตติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า เหตุผลที่ไม่แนะนำให้เข้าซื้อ PTTEP เพราะเห็นว่า ปริมาณขายปิโตรเลียมปี 52 ลดลงมาที่ 2.3 แสนบาร์เรล/วัน จากแผนเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 2.5 แสนบาร์เรล/วัน หรือลดลง 6.1% ประกอบกับแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกอ่อนตัว โดยประเมินว่าในปีนี้ราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 60 เหรียญ/บาร์เรล

และเมื่อดูราคาหุ้น PTTEP ขณะนี้ค่อนข้างจะเต็มมูลค่าเมื่อเทียบกับราคาเหมาะสมที่เราประเมินไว้ ที่ 115 บาท

"กลยุทธ์ตอนนี้เขาก็โอเค คือไปซื้อธุรกิจหรือโครงการขณะที่ราคาน้ำมันต่ำในอนาคตถ้าราคาปรับตัวขึ้น ASSET ต่างๆที่ลงทุนไว้ ก็จะเพิ่มมูลค่าให้เขาได้มาก ก็ถือว่าดี แต่เราประเมินจากวันนี้ เทียบกับราคาวันนี้ กับราคาเป้าหมายเมื่อเทียบกับความเสี่ยงแล้วไม่คุ้ม แต่ถ้าราคาลงไป 80-90 บาท ก็จะน่าสนใจ คำแนะนำขึ้นอยู่กับราคา ณ วันที่เราทำบทวิเคราะห์" นายกิตติชาญ กล่าว

ด้านนางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน มองว่า เนื่องจากนักลงทุนยังความกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการในกลุ่มปตท. (PTT) ก็คงกดดันราคาหุ้นในกลุ่มนี้ต่อ ไม่ว่าจะเป็น PTT, PTTEP, PTTAR, TOP, IRPC, BCP

แต่ PTTEP ไม่ได้เป็นบริษัทที่จะมีผลประกอบการปรับลดลงมาก เพราะยอดขายส่วนใหญ่จะมาจากก๊าซมากกว่าน้ำมัน และราคาก๊าซก็ไม่ได้ปรับลดลงไปมากเท่ากับน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 4/51 PTTEP จะมีผลประกอบการลดลงน้อยที่สุดในกลุ่มปตท. และยังคงคาดหมายเงินปันผลค่อนข้างใกล้เคียงกับคาดการณ์เดิม

"เรามองว่า การปรับลดมูลค่าของ PTTEP น่าจะมาจากภาพรวมของทั้งกลุ่มที่ถูกกดดันด้วยความกังวลของผลประกอบการ" นางวิริยา กล่าว

ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน เห็นว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ปริมาณขายจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 6% และราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาได้สะท้อนราคาน้ำมันที่ลดลงแล้ว โดยคาดว่าปี 52 ผลประกอบการจะถอยลงไปตามราคาน้ำมัน โดยประเมินว่า กำไรปี 52 ลดลง 32% จากปี 51 ที่ประเมินว่าจะมีกำไร 4.23 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 3.23 หมื่นล้านบาท ส่วนยอดขายตั้งเป้าไว้ที่ 2.35 แสนบาร์เรล/วัน โดยปรับลดจากแผนเดิมที่ 2.5 แสนบาร์เรล/วัน

แต่เชือว่าในระยะยาวจะดี บริษัทก็ยังมีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และทิศทางการเติบโตของธุรกิจที่ชัดเจนที่ต้องมีการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติ เพื่อให้ทันกับความต้องการในอนาคต

ส่วนบล.ทิสโก้ ระบุว่า จากการที่ ผู้บริหาร PTTEP ยืนยันถึงกลยุทธ์ในระยะยาวที่จะก้าวเป็นบริษัทผู้สำรวจและผลิตปิโตรเลียมหลักของอาเซียนในปี 2563 (ค.ศ. 2020) ด้วยปริมาณขายที่ 900kBOED ขณะที่บริษัทมีความระมัดระวังมากขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากการร่วงลงของราคาน้ำมันในปัจจุบัน แต่บริษัทก็มองสิ่งนี้น่าจะเป็นโอกาสดีในการมองหาสินทรัพย์ลงทุนใหม่ ๆ

ทั้งนี้ ได้ปรับประมาณการผลประกอบการปี 52 ของ PTTEP ลง 7.6% เนื่องจาก Deutsche Bank (DB) ซึ่งเป็นพันธมิตรงานด้านวิจัยของเรามีการปรับสมมติฐานราคาน้ำมัน (Brent) สำหรับปี 52 ลงจาก 47.5 เหรียญฯ/บาร์เรล เป็น 45 เหรียญฯ/บาร์เรล ส่งผลให้เรามีการปรับสมมติฐานราคาน้ำมัน (Dubai) เป็น 41 เหรียญฯ/บาร์เรล รวมทั้งเรายังมีการปรับประมาณการปริมาณขายลง 6% จากความต้องการที่ลดลง

"เรายังมองแนวโน้มบริษัทในเชิงบวก เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันน่าจะตกต่ำสุดในปีนี้ และจะเริ่มฟื้นตัวในปีหน้า ขณะที่ปริมาณขายน่าจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากโครงการใหม่และโครงการที่มีอยู่แล้วเดิม เราปรับเป้าหมายราคาหุ้นขึ้นจาก 118 บาท เป็น 122 บาท (DCF) เนื่องจากได้รับโครงการในพม่าเข้ามา หลังบริษัทมีความคืบหน้ามากขึ้นในโครงการดังกล่าว"บทวิเคราะห์ของบล.ทิสโก้ ระบุ

อนึ่ง PTTEP ประมาณการรายจ่ายลงทุน (Capital Expenditure) และรายจ่ายดำเนินงาน (Operating Expenditure) ในช่วงปี 2552 - 2556 เป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 4.18 แสนล้านบาท

ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการทั้งหมด 42 โครงการ โดยประกอบด้วยโครงการที่อยู่ในระหว่างการผลิต 15 โครงการ ระยะพัฒนา 4 โครงการ และระยะสำรวจ 23 โครงการ ทั้งนี้ ไม่รวมโครงการของ บริษัท Coogee Resources Limited หรือ CRL (เพิ่งซื้อกิจการเมื่อปลายปี 51)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ