BH เผยปี 52 ปรับแผนเน้นสัดส่วนคนไทยเพิ่มเป็น 60%หลังเห็นแนวโน้มต่างชาติหด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 13, 2009 17:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายแมค แบนเนอร์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) กล่าวว่า ในปีนี้โรงพยาบาลได้ปรับแผนในการเพิ่มจำนวนผู้มาใช้บริการคนไทยมากขึ้นเนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นส่งให้จำนวนคนไข้ต่างประเทศที่บินมารักษามีจำนวนลดลง

อีกทั้งเป็นการเพิ่มผู้มาใช้บริการคนไทยต่อเนื่องจากโครงการ Healthy Living Club ที่ทางโรงพยาบาลได้เปิดตัวกลางปี 51 เพื่อรองรับผู้มาใช้บริการคนไทย ส่งผลให้ได้รับการตอบรับที่ดี และทำให้มีผู้มาสมัครเข้าโครงการประมาณ 8,000 คน และเชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5-2 หมื่นราย

"โครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการที่ให้ส่วนลดกับคนไข้ไทยเป็นครั้งแรกของรพ.จากเดิมที่จะมีการลดแบบครั้งคราวเท่านั้น...ทางรพ.คงไม่มีการปรับราคา แต่จะเห็นลักษณะแบบนี้มากกว่า" นายแบนเนอร์ กล่าว

ทั้งนี้ การจัดทำโครงการดังกล่าว เนื่องจาก รพ.เห็นสัญญาณของจำนวนผู้ที่จะมารักษาโดยเฉพาะชาวต่างประเทศมีอัตราที่ลดลง โดยเฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 51 แต่ขณะที่ในส่วนของคนไทยกลับปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งในลักษณะการเข้ามาตรวจรักษาโรคทั่วไปและโรคเฉพาะทาง โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนคนไข้ไทยเป็น 60% จากปีก่อนที่เฉลี่ยในช่วง 50-58%

ขณะที่แผนการลงทุนในประเทศ ยังคงเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ โดยเฉพาะอาคารบำรุงราษฎร์คลีนิคที่จะต้องมีการต่อเติมเพิ่มอีก 5 ชั้น และอาคารผู้ป่วยนอก เพื่อรองรับคนไข้ที่เพิ่มขึ้น โดยจะมาจากจากเม็ดเงิน 1 พันล้านบาทในปี 52-54

ส่วนเม็ดเงินลงทุนในต่างประเทศนั้น จะมีการประเมินอย่างระมัดระวังภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ผันผวน และวิกฤตที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการลงทุนที่ดูไบ บริษัทก็คงจะชะลอและเลื่อนไปในปี 53 จากแผนเดิมที่วางไว้จะแล้วเสร็จปลายปี 52 ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจาก รพ. แต่เป็นปัญหาความล่าช้าจากการขาดแคลนนวัสดุก่อสร้างในดูไบมากกว่า เพราะปัจจุบันในดูไบมีการเติบโตของการก่อสร้างมาก

ส่วนที่จีน และ อินเดีย ทาง บริษัท บำรุงราษฎร์ อินเตอร์ เนชั่นแนล (BIL) เป็นผู้ประสานและหาพันธมิตรเจรจาอยู่หลายราย

สำหรับเม็ดเงินลงทุนนั้น นายแบนเนอร์ ระบุว่า ไม่กังวลเพราะมีเครดิตไลน์ และไม่มีปัญหาในเรื่อง cash flow

นายแบนเนอร์ กล่าวว่า BH ยังคงเป้าหมายรายได้ในปี 52 จะเติบโตในระดับ 5-15% จากปี 51 ที่คาดว่ารายได้จะอยู่ที่ประมาณ 8-9 พันล้านบาท

"การประเมินตัวเลขดังกล่าวเป็นการประเมินในช่วงปลายปี 51 และภายใต้สถานการ์ที่มองว่าไม่น่าจะเลวร้าย แต่อย่างไรก็ตามคงต้องติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง จากการประเมินผู้มาใช้บริการยังไม่ได้ลดลงจนน่าตกใจ ทำให้ยังคงตัวเลขไว้ก่อน" นายแบนเนอร์ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ