ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กวิตกผลประกอบการเอกชน-เศรษฐกิจถดถอย ฉุดดาวโจนส์ปิดร่วง 248.42 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 15, 2009 06:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (14 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเรื่องแนวโน้มผลประกอบการในภาคเอกชน รวมถึงธนาคารพาณิชย์, บริษัทพลังงาน และบริษัทค้าปลีก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากยอดค้าปลีกประจำเดือนธ.ค.ของสหรัฐที่ร่วงลงเกินความคาดหมาย

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วง 248.42 จุด หรือ 2.94% แตะที่ 8.200.14 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 29.17 จุด หรือ 3.35% แตะที่ 842.62 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 56.82 จุด หรือ 3.67% แตะที่ 1,489.64 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.42 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2,793 ต่อ 318 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 1.94 พันล้านหุ้น

จิม ดูนิแกน นักวิเคราะห์จากพีเอ็นซี เวลธ์ เมเนจเมนท์ กล่าวว่า "กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่ายอดค้าปลีกประจำเดือนธ.ค.ปี 2551 ร่วงลง 2.7% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทคาดไว้กว่า 2 เท่าที่ 1.2% ข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย ซึ่งหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยรุนแรงขึ้น เพราะตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐ"

ดูนิแกนกล่าวว่า ยอดค้าปลีกของสหรัฐที่ร่วงลงติดต่อกันยาวนานถึง 6 เดือนสะท้อนให้เห็นว่าสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐย่ำแย่มาก โดยเฉพาะตัวเลขจ้างงานเดือนธ.ค.ปี 2551 ที่ร่วงลง 524,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้ตัวเลขว่างงานโดยรวมตลอดปี 2551 มีอยู่ทั้งสิ้น 2.6 ล้านตำแหน่ง ทั้งนี้ ตัวเลขว่างงานที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงและภาคเอกชนที่ลดการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคประหยัดการใช้จ่าย ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อภาคค้าปลีกโดยตรง

กระแสความวิตกกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อบริษัทเอกชนหลายแห่งออกมาปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการและประกาศตัวเลขขาดทุน โดยเมื่อวานนี้ นักวิเคราะห์กคาดการณ์ว่าตัวเลขกำไรไตรมาส 4 ปี 2551 ของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐอาจร่วงลง 83% จากปีก่อนหน้านี้ เหลือเพียง 519.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ดอยช์ แบงค์ เปิดเผยตัวเลขขาดทุนไตรมาส 4 ถึง 6.4 พันล้านดอลลาร์

บรู๊ซ คาสแมน หัวหน้านักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวลง 1.5% ในปีนี้ ซึ่งหดตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะยังไม่สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้จนกว่าจะถึงปี 2553 อีกทั้งกล่าวว่าสหรัฐจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยแบบเรื้องรังได้หรือไม่อาจจะขึ้นอยู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 7.75 แสนล้านดอลลาร์ที่บารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐที่จะผลักดันให้ผ่านสภาในเดือนหน้า

เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่โอบามาและสภาคองเกรสพยายามผลักดันนั้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้ฟื้นตัวขึ้นได้ แต่เบอร์นันเก้เตือนว่าเศรษฐกิจยังไม่สามารถขยายตัวอย่างยั่งยืนได้นอกเสียจากว่าจะใช้มาตรการฉบับดังกล่าวควบคู่ไปกับการสร้างเสถียรภาพในระบบการเงิน

นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์กล่าวว่า ธนาคาร HSBC อาจต้องระดมทุนเพิ่ม 3 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากผลประกอบการถดถอยลง ขณะที่ธนาคารรอยัล แบงค์ ออฟ สก็อต แลนด์ เปิดเผยว่า ธนาคารได้ระดมเงินทุน 2.5 พันล้านดอลลาร์ด้วยการขายหุ้นในแบงค์ ออฟ ไชน่า

ทั้งนี้ หุ้นซิตี้กรุ๊ปร่วงลงกว่า 23% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ดิ่งลง 8.9% และหุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 1.7%

ส่วนหุ้นเมซีซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีก ร่วงลง 5.8% และหุ้นเชฟรอนในกลุ่มพลังงาน ดิ่งลง 3%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ