MJD เป้าปี 52 รายได้โตต่อเนื่อง backlog กว่า 6 พันลบ./เล็งเปิด 2คอนโดฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 15, 2009 15:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์(MJD) กล่าวว่า แม้ว่าตลาดคอนโดมิเนียมในปีนี้จะมีแนวโน้มทรงตัวไม่คึกคักเหมือนช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลก แต่บริษัทก็ยังมั่นใจว่ารายได้ในปี 52 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 51 เนื่องจากบริษัทมียอดขายรอโอน(backlog)ราว 6 พันล้านบาทที่จะทยอยรับรู้ 2-3 ปี

"เราก็หวังว่ารายได้ปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว น่าจะเป็นในเรื่องของการก่อสร้าง ซึ่งก็มาจาก backlog 5-6 พันล้านบาทที่มีอยู่ตอนนี้" นายสุริยน ให้สัมภาษณ์กับ"อินโฟเควสท์"

สำหรับผลประกอบการปี 51 คาดว่ากำไรสุทธิน่าจะดีกว่าปี 50 ที่มีกำไร 279 ล้านบาท โดยงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิแล้ว 349 ล้านบาท และรายได้รวมก็น่าจะดีกว่าปี 50

ผู้บริหาร MJD มองว่า กำลังซื้อโครงการของบริษัทในขณะนี้ก็ยังคงมีเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นโครงการเก่าที่เปิดตัวไปเมื่อช่วง 1-2 ปีที่แล้ว ซึ่งมีการก่อสร้างตามระยะเวลาและแผนงานที่วางไว้ โดยได้ทยอยเปิดตัวและมีการเชิญลูกค้าที่สนใจเข้ามาดูโครงการอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ยอดพรีเซลในช่วงไตรมาส 4/51 ยังอยู่ในระดับที่ดี ส่วนใหญ่จะมาโครงการเก่าที่เสร็จแล้วหรือใกล้จะแล้วเสร็จ

ส่วนโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวภายในปีนี้เดิมตั้งเป้าว่าจะเปิดตัวราว 1-2 โครงการ แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะกำหนดแน่ชัดไปว่าจะมีแน่หรือไม่มีเพราะต้องดูสภาพเศรษฐกิจด้วย เป็นคอนโดฯ มูลค่ารวม 1,000 กว่าล้านบาท คงไม่ใหญ่มาก เพราะบริษัทเองคงต้องมีความระมัดระวังในการลงทุนในระยะนี้ด้วย

"คาดว่าจะเป็นช่วงไตรมาส 2 จึงจะกำหนดแผนงานได้ ก่อนประชุมผู้ถือหุ้น"นายสุริยน กล่าว

นายสุริยน กล่าวว่า บริษัทยังคงแผนที่จะออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 1.5 พันล้านบาท แต่คงต้องรอดูภาวะตลาดให้เหมาะสมก่อน เพราะตอนนี้ตลาดยังไม่เปิด ซึ่งก็เป็นแผนงานที่ยังพิจารณาอยู่ไม่ได้ล้มเลิกไป หากต้นทุนคุ้มค่ากว่าการกู้เงินจากสถาบันการเงิน ก็จะนำมาพิจารณาดำเนินการ

แต่ขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนซื้อที่ดินใหม่ ช่วงนี้งานหลักๆ คือการก่อสร้างโครงการให้เป็นไปตามเป้า ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของช่วงปีนี้ รวมทั้งจะรักษาสัดส่วนลูกค้าต่างชาติและลูกค้าไทยให้อยู่ระดับที่เท่า ๆ กัน แม้ว่าช่วงนี้ลูกค้าที่จะเข้ามาซื้อโครงการส่วนใหญ่จะเป็นต่างชาติ แต่บริษัทเราไม่ได้พึ่งพาต่างชาติเป็นหลัก การให้น้ำหนัก 50:50 น่าจะมีภูมิคุ้มกันต่อความเสี่ยงทางธุรกิจได้ในระดับหนึ่ง

นายสุริยน กล่าวอีกว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลงขณะนี้ ช่วยทั้งกิจการของบริษัทที่มีหนี้สินที่กู้มาจากธนาคาร และยังช่วยลูกค้าให้มีความคล่องตัวมากขึ้นด้วย

"ลดดอกเบี้ยดีต่อเรา 2 ต่อคือ cost of fund ก็ต่ำลง และลูกค้าเองก็มีความคล่องตัวมากขึ้น" นายสุริยน กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ