(เพิ่มเติม) SAMART คาดปี 52 มีรายได้ 2.3 หมื่นลบ.โต 30% จากปี 51, SAMTEL-SIM โตดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 16, 2009 17:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวัฒนชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น(SAMART)คาดว่าปี 52 บริษัทจะมีรายได้ 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 51 ราว 30%

ทั้งนี้ รายได้ส่วนใหญ่สัดส่วนใน 55% มาจาก บมจ.สามารถไอ-โมบาย(SIM) ที่ตั้งเป้ารายได้ที่ 1.25 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มี 1.1 หมื่นล้านบาท, สัดส่วน 35% มาจาก บมจ.สามารถเทลคอม (SAMTEL)ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ที่ 8 พันล้านบาท จากปี 51 ที่มี 3 พันล้านบาท และที่เหลืออีก 20% เป็นรายได้จากธุรกิจเกี่ยวข้องเทคโนโลยี(Technology Related )ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2.5 พันล้านบาท

"แม้ว่าปี 51 รายได้ของบริษัทจะพลาดเป้าหมายจากปัจจัยเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ยอดขายมือถือตกลง แต่ปี 52 เป้าหมายที่ 2.3 หมื่นล้านเป็นการคิดแบบ conservative ซึ่งจริงๆเราตั้งเป้าในบริษัทสูงกว่านี้เพราะเรามั่นใจในส่วน SAMTEL และปีนี้เชื่อว่า SIM จะมียอดขายที่โตขึ้น และราคาขายต่อเครื่องก็น่าจะดีขึ้นเพราะมีมือถือรุ่นใหม่ๆออกมา"นายวัฒนชัย กล่าว

สำหรับงบลงทุนในปี 52 คาดใช้ประมาณ 1 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของ SAMTEL ประกอบกับสภาพคล่องของบริษัทในปี 52 ดีมาก เพราะจะได้รับคืนหนี้จากกิจการร่วมค้าไทยโมบายและสนามบินสุวรรณภูมิ รวมเป็นเงิน 570 ล้านบาท

ส่วนปี 51 นายวัฒน์ชัย กล่าวว่า แม้ว่ารายได้จะได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่เคยวางไว้และกำไรสุทธิอาจเป็นไปทิศทางเดียวกันรายได้ แต่บริษัทยังยืนยันจะมีการจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งหลังปี 51 หลังจากที่จ่ายเงินปันผลระหว่างการในงวดครึ่งแรกของปี 51 ไปแล้ว

"เรายืนยันว่าจะจ่ายเงปันผลงวดครึ่งปีหลัง แม้กำไรอาจจะต่ำกว่าปี 50 แต่ก็ยังจ่ายปันผล ให้กับผู้ถือหุ้นในกลุ่มบริษัท"นายวัฒน์ชัย กล่าว

อนึ่ง SAMART ได้ปรับลดเป้ารายได้ปี 51 หลายครั้งจากตั้งแต่ต้นปีวางไว้ 3 หมื่นล้าน มาที่ 1.8 หมื่นล้านบาท และปลายปีก็ปรับลดประมาณการใหม่มาที่ 1.5 หมื่นล้านบาท จากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ

*SIM ตั้งเป้ายอดขาย 5 ล้านเครื่อง เน้นบุกตลาด ตปท.

นายวัฒน์ชัย กล่าวว่า ในปี 52 SIM ตั้งเป้ายอดขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5 ล้านเครื่อง แบ่งเป็นตลาดต่างประเทศ 2.7 ล้านเครื่อง และในประเทศ 2.3 ล้านเครื่อง โดยจะที่เน้นการทำตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซีย และอินเดีย ที่มีประเมินว่ายังมีความต้องการใช้โทรศัพท์มือถือสูงถึง 140 ล้านเครื่องใน 2 ประเทศ เนื่องจากมีประชากรจำนวนมาก รวมทั้งประเทศในแถบตะวันออกกลางซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไม่มากนัก

อีกทั้ง SIM มีแผนจะนำเสนอโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ รองรับระบบ 3G และระบบ CDMA รวมทั้ง กำหนดกลยุทธ์เพื่อสร้างความแตกต่างให้แก่ผลิตภัณฑ์ ยกระดับการแข่งขัน และกระตุ้นให้ผู้บริโภคเห็นความคุ้มค่าในการเปลี่ยนเครื่องใหม่

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ สัดส่วนรายได้จาก SIM ปรับลดลงจากปี 51 ที่มีสัดส่วนถึง 70-75% มาเป็น 55%

*SAMTEL รับผลดีธุรกิจไอซีทีรุ่ง

สำหรับ SAMTEL ในปี 52 มีรายได้สูงขึ้นเกือบ 200% เนื่องจากมีมูลค่าคงค้างในมือสูงถึง 5 พันล้านบาท และคาดว่าจะมีงานที่รอเซ็นสัญญาในไตรมาส 1/52 อีก 7 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการขยายโครงข่ายไอพีบรอดแบนด์เพื่อรองรับการใช้งานอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ มูลค่าประมาณ 4,200 ล้านบาท ควบคู่ไปกับโครงการบรอดแบนด์ 1 ล้านพอร์ต มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 53

โครงการไอพีคอร์ มูลค่ากว่า 800 ล้านบาท, โครงการเคเบิลใต้น้ำมูลค่า 600 ล้านบาท และโครงการโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมในพื้นที่ห่างไกลชนบท Universal Service Obligation (USO) มูลค่า 280 ล้านบาท

และยังมีโครงการที่บริษัทอยู่ระหว่างรอประมูลอีกกว่า 5 หมื่นล้านบาท คาดหวังว่าจะได้งานไม่ต่ำกว่า 10% ของมูลค่าที่เข้าร่วมประมูล เช่น โครงการมิเตอร์อัจฉริยะ(AMR)ส่วนขยาย โครงการ NGN โครงการ e-learning โครงการ Airport CUTE ซึ่งยังไม่นับรวมโครงการประมูลขนาดใหญ่ซึ่งมีมูลค่าราว 30,000 ล้านบาท คือโครงการลงทุนโครงข่าย 3G

"สาย ICT มีการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน จากเดิมที่เคยสร้างรายได้ให้แก่กลุ่มฯ 20% นับเป็นสัญญานบวกต่อภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่มฯ เพราะเป็นสายธุรกิจที่ให้ผลกำไรสูงและมีโอกาสในการต่อยอด เพื่อสร้างรายได้ประจำอีกด้วย" นายวัฒน์ชัย กล่าว

ส่วนสายธุรกิจ Technology Related ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 2.5 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นธุรกิจภายในประเทศ 1,400 ล้านบาท จากบริษัท วันทูวันคอนแทคส์ จำกัด, บริษัท สามารถวิศวกรรม จำกัด และบริษัท สุวรรณภูมิ เอ็นไวรอนเม้นท์ แคร์ จำกัด ส่วนธุรกิจในต่างประเทศตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,100 ล้านบาท จากธุรกิจของบริษัท แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิก เซอร์วิสเซส จำกัด และบริษัท Kampot Power Plant จำกัด

นายวัฒนชัย กล่าวว่า บริษัทยังชะลอแผนการนำบริษัท วันทูวันคอนแทคส์ จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาด เอ็ม เอ ไอ ในปีนี้จากที่ได้เลื่อนมาตั้งแต่ปี 51 เนื่องจากมองว่าภาวะเศรษฐกิจและภาวะตลาดหุ้นปีนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อการระดมทุน หากนำเข้าตลาดจะได้ราคาไม่ดี และหุ้นจะไม่ได้รับความสนใจ รวมทั้งบริษัทแม่ยังมีเงินสดลงทุนในวันทูวันฯได้



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ