บมจ.ปตท.เคมิคอล(PTTCH) คาดปี 52 สเปรด (ส่วนต่างผลิตภัณฑ์)ไม่ต่ำกว่าปี 51 ที่คาดว่าจะมีสเปรดเฉลี่ย 500 เหรียญ/ตัน แม้ราคาขายปีนี้จะลดลงมากจากปีก่อน แต่จะลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการผลิตและบริหาร เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะประเมินสถานการณ์ได้ชัดเจน ขณะเดียวกันในไตรมาส 4/52 จะมีกำลังการผลิตใหม่ออกมากว่าเท่าตัว มั่นใจในปี 53 ผลประกอบการจะก้าวกระโดดหลังกำลังการผลิตเพิ่มเป็นเท่าตัว
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTCH กล่าวว่า จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงทำให้ราคาขายโอเลฟินส์ และเม็ดพลาสติกปรับตัวลงตามไปด้วย โดยราคาเม็ดพลาสติก HDPE ขณะนี้อยู่ที่ 850-900 เหรียญ/ตัน จากปีก่อนที่ราคาขึ้นไปสูงสุดที่ 1,600-1,700 เหรียญ/ตัน ส่วนนาฟทา ซึ่งเป็นวัตถุดิบ ราคาก็ปรับลงอยุ่ที่ 400 เหรียญ/ตัน ทำให้มีสเปรดราว 450-500 เหรียญ/ตัน ในขณะนี้
"สเปรดปีนี้ เราพยายามรักษาไม่ให้น้อยกว่าปีก่อน... กลางปีเราจะประเมินผลประกอบการใหม่ ดูเรื่องดีมานด์ , มาร์จิ้นของบริษัท และการบริหารงานของเรา " นายวีรศักดิ์ กล่าว
แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีหลายสำนักวิจัย จะประเมินว่า ธุรกิจปิโตรเคมีในปี 52 จะเป็นขาลง แต่ก็ประเมินบนแผนการผลิตใหม่ที่จะมีกำลังการผลิตออมมามากในปี 52 อย่างไรก็ดี ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำให้โรงงานในแถบตะวันออกกลางอาจชะลอการผลิตออกไป ขณะที่ความต้องการหรือดีมานด์ก็ลดลงไปด้วย
"เราเข้าใจว่าธุรกิจมีวัฎจักร แต่ช่วงที่ดีเราได้ตักข้าวสารเอสไว้หรือไม่ และข่วงขาลงคุณเข้มแข็งไหม ต้องวัดฝีมือกัน ปี 52 ที่ใครๆบอกว่าเป็นขาลงปิโตรเคมี แต่รอบนี้มีผลข้างเคียงจากวิกฤติโลก ซัพพลายอาจหายไปดีมานด์ก็หายไปด้วย เราคิดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง" กรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTCH กล่าว
ทั้งนี้ นายวีระศักดิ์ เคยคาดว่าในปี 51 บริษัทจะทำรายได้ 8.5 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเป้าหมายเดิม 9.97 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปริมาณความต้องการและราคาปิโตรเคมีปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว และบริษัทเตรียมทบทวนเป้าหมายรายได้ในปี 52 ที่เคยตั้งไว้ในระดับ 1.2 แสนล้านบาทด้วย
อย่างไรก็ดี บริษัทได้รับมือในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารและลดค่าใช้จ่าย เช่นการใช้พลังงาน การลดความสูญเสีย , การบริหารสินค้าคงคลังซึ่งปกติจะเก็บสต็อกต่ำกว่า 1 เดือน แต่จะผลิตตามออเดอร์ , การบริหารกระแสเงินสดให้มีประสิทธิภาพ หากมีน้อยไปก็จะไม่พอแต่หากมีมากไปจะเป็นต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายของบริษัท และการมีวินัยทางการเงิน ซึ่งบริษัทรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่เกิน 1 เท่า ซึ่งปัจจุบัน D/E ต่ำกว่า 1 เท่า ขณะเดียวกันบริษัทได้เตรียมเงินลงทุนสำหรับปี 52-53 จำนวนประมาณ 5 พันล้านบาทไว้แล้ว
*กำลังการผลิตเพิ่มกว่าเท่าตัวปลายปี 52 ส่งให้ 53 โตก้าวกระโดด
นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ในปลายปี 52 กำลังการผลิตโอเลฟินส์และเม็ดพลาสติก จะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จะส่งผลให้รายได้ในปี 53 เติบโตแบบก้าวกระโดด รวมทั้ง ทำให้บริษัทมีสินค้าครบวงจร และหลากหลาย ทั้งนี้ในส่วนการผลิตเม็ดพลาสติกในสิ้นปี 52 จะกำลังการผลิตเป็น 1.2 ล้านตัน/ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 5 แสนตัน/ปี และเพิ่มเป็น 1.5 ล้านตัน/ปี ในปี 53 ส่วน โอเลฟินส์จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 2.8 ล้านตัน/ปี จากปัจจุบัน 1.7 ล้านตัน/ปี
โดยกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นใหม่ในปีนี้ ได้แก่ โครงการ Ethane Cracker จะเพิ่มกำลังการผลิตโอเลฟินส์อีก 1 ล้านตัน/ปี ที่จะเริ่มผลิตได้ในไตรมาส 4/52 , โรงงานเม็ดพลาสติก LLDPE และ LDPE ภายใต้ บจ. พีทีที โพลีเอทิลีน มีกำลังการผลิต LLDPE 4 แสนตัน/ปี และ LDPE 3 แสนตัน/ปี (ทั้งสองชนิดเป็นสินค้าใหม่ของบริษัท) , ขยายกำลังการผลิต HDPE ของบริษัท บางกอกโพลีเอทิลีน จำกัด(มหาชน)หรือ BPE อีก 1.5 แสนตัน/ปี ที่จะผลิตได้ในไตรมาส 4/52 นอกจากนี้ โครงการขยายกำลังการผลิต HDPE ของบริษัท อีก 3 แสนตัน/ปี จะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/53
นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ในปี 52 บริษัทจะมีผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย และครบวงจรมากขึ้น โดยมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ เม็ดพลาสติกโพลีเอททีลีนความหนาแน่นต่ำเชิงเส้น (LLDPE)
ปัจจุบัน บริษัทใช้กำลังการผลิตกว่า 80% และคาดว่าจะรักษาระดับการใช้กำลังการผลิตเช่นนี้ต่อไป