นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส(UMS) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปี 52 รายได้เติบโต 10% จากปี 51 ที่มีอัตราการเติบโต 40% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ลดลงภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ เพราะมองว่าลูกค้าอาจลดการลงทุนหรือการผลิต และเป็นปีที่ต้องรักษาสภาพคล่อง
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเป็นจังหวะเข้าไปลงทุนเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียในระดับราคาที่ถูก และอาจจะเห็นราคาต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2/52 เพราะเชื่อว่าจะมีเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง และราคาถ่านหินขึ้นแรงและลงแรง โดยคาดว่าจะเห็นการเข้าไปเทกโอเวอร์ได้ในช่วงไตรมาส 3/52 ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการหาที่ปรึกษาทางเทคนิคเพื่อเข้าไปประเมินมูลค่าเหมือง และคุณภาพของถ่านหิน
นายขัยวัฒน์ กล่าวว่า เงินลงทุนที่ใช้สำหรับการเทกโอเวอร์เหมืองถ่านหินดังกล่าวจะมีจำนวนประมาณ 1-2 พันล้านบาท โดยมาจากเงินทุนหมุนเวียน, กำไรสะสม และ วอร์แรนต์บางส่วนที่ได้ใข้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ
นอกจากนี้ บริษัทจะลงทุนซื้อเรือในต่างประเทศในปีนี้ด้วย
"ในจังหวะสถานการณ์ที่ไม่ดี ก็ยังมีสิ่งที่ดี และโอกาส เหมืองถ่านหินที่เรามองไว้ในแผนแต่เดิมไม่รีบมาก แต่ตอนนี้กลายเป็นจังหวะที่ดี แต่สภาพคล่องก็ถือเป็นสิ่งที่จำเป็น เราจะต้องดูแลให้ดี ซึ่งตอนนี้เราได้มีการ Review แผนเพื่อที่จะลด cost ให้ได้ เพื่อที่จะทำให้เรารักษา Net Profit Margin ที่ 15%" นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า จากแผนที่บริษัทต้องรักษาสภาพคล่องทางการเงินเพื่อรองรับการลงทุนเหมืองถ่านหิน ทำให้การจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งหลังปี 51 คงจะจ่ายในอัตราที่เท่ากับครึ่งแรกของปี 51 ที่อัตราหุ้นละ 1 บาท แม้ว่ากำไรในงวดครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เชื่อว่าผู้ถือหุ้นจะเข้าใจ และการลงทุนซื้อเหมืองถ่านหินจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต
ทั้งนี้ มองว่าราคาถ่านหินในปี 52 ยังคงผันผวน และประเมินว่าในช้วงไตรมาส 2/52 น่าจะเห็นจุดต่ำสุดของราคาถ่านหิน ซึ่งคาดราคาถ่านหินปี 52 เฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 เหรียญ/ตัน