BBL เผยปี 51 กำไรโต 4.9% แม้มียอดขาดทุนจาก CDO,NPL ลดเหลือ 4.6%

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 19, 2009 20:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธนาคารกรุงเทพ(BBL) รายงานผลการดำเนินงานสำหรับปี 2551 มีกำไรสุทธิจำนวน 20,043 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 และ กำไรก่อนหักสำรองและภาษี จำนวน 35,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 ธนาคารมีกำไรต่อหุ้นสำหรับ ปี 2551 เพิ่มขึ้นจาก 10.01 บาทต่อหุ้นในปีก่อน เป็น 10.50 บาทต่อหุ้น

ในปี 2551 สินเชื่อมีการขยายตัวดี ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้ค่าธรรมเนียม และกำไรจากการปริวรรตเงินตราสูงขึ้น ซึ่งรายรับรวมเพิ่มขึ้นมากกว่าการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย โดยธนาคารมีการขยายตัวด้านสินเชื่อในปี 2551 ในอัตราร้อยละ 13.2 โดยสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2550 เป็น 1,171,716 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากการที่ลูกค้าธุรกิจมีความต้องการสินเชื่อเพิ่มมากขึ้นเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนและเพื่อการลงทุน ในขณะที่เงินฝากขยายตัวร้อยละ 3.5 ทำให้มียอดเงินฝากทั้งสิ้น 1,311,477 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา

ธนาคารได้มุ่งเน้นการแก้ไขหนี้มีปัญหา ทำให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นปี ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 33.1 หรือลดลง 27,035 ล้านบาท เป็น 54,636 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 4.6 ของสินเชื่อรวม เทียบกับร้อยละ 7.9 ณ สิ้นเดือนธันวาคม ปี 2550

ธนาคารมีรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากปี 2550 จำนวน 1,594 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.2 เป็น 17,222 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากธุรกรรมพื้นฐานต่าง ๆ เช่น บริการเอทีเอ็ม บริการบัตรเครดิต และบริการโอนเงิน เป็นต้น และยังเพิ่มขึ้นจากบริการอื่น เช่น บริการด้านการลงทุนผ่านกองทุนรวม และบริการประกันชีวิตผ่านธนาคาร เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ธนาคารมีกำไรจากการปริวรรตเงินตรา เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 7.4 เป็น 4,256 ล้านบาท

ส่วนด้านเงินลงทุน มียอดขาดทุน 2,976 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากการตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าเงินลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากความผันผวนในตลาดการเงินในสหรัฐฯ

ค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยในปี 2551 เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 6.6 เป็น 37,393 ล้านบาท ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่าย ด้านพนักงานและด้านสถานที่และอุปกรณ์ เนื่องจากมีการขยายเครือข่ายสาขา

ณ สิ้นปี 2551 ธนาคารมีสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 59,768 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ร้อยละ 109.4 โดยในปี 2551 ธนาคารมีค่าใช้จ่ายค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญรวม 6,409 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ0.57 ของสินเชื่อถัวเฉลี่ย

ส่วนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงเล็กน้อย จำนวน 37 ล้านบาท เป็น 9,081 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 31.2 ของกำไรก่อนภาษีเงินได้ ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 มีจำนวน 173,177 ล้านบาท และหากนับรวมกำไรสุทธิในครึ่งหลังของปี 2551 ด้วยแล้ว อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นและเงินกองทุนชั้นที่ 1 ตามหลักเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งนำแนวทาง Basel 2 มาบังคับใช้แล้วนั้น อยู่ในระดับที่ประมาณร้อยละ 14.6 และร้อยละ 11.9 ตามลำดับ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ