ธนาคารกรุงเทพ(BBL) รายงานผลการดำเนินงานสำหรับปี 2551 มีกำไรสุทธิจำนวน 20,043 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 และ กำไรก่อนหักสำรองและภาษี จำนวน 35,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 ธนาคารมีกำไรต่อหุ้นสำหรับ ปี 2551 เพิ่มขึ้นจาก 10.01 บาทต่อหุ้นในปีก่อน เป็น 10.50 บาทต่อหุ้น
ในปี 2551 สินเชื่อมีการขยายตัวดี ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้ค่าธรรมเนียม และกำไรจากการปริวรรตเงินตราสูงขึ้น ซึ่งรายรับรวมเพิ่มขึ้นมากกว่าการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย โดยธนาคารมีการขยายตัวด้านสินเชื่อในปี 2551 ในอัตราร้อยละ 13.2 โดยสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2550 เป็น 1,171,716 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากการที่ลูกค้าธุรกิจมีความต้องการสินเชื่อเพิ่มมากขึ้นเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนและเพื่อการลงทุน ในขณะที่เงินฝากขยายตัวร้อยละ 3.5 ทำให้มียอดเงินฝากทั้งสิ้น 1,311,477 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
ธนาคารได้มุ่งเน้นการแก้ไขหนี้มีปัญหา ทำให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นปี ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 33.1 หรือลดลง 27,035 ล้านบาท เป็น 54,636 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 4.6 ของสินเชื่อรวม เทียบกับร้อยละ 7.9 ณ สิ้นเดือนธันวาคม ปี 2550
ธนาคารมีรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากปี 2550 จำนวน 1,594 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.2 เป็น 17,222 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากธุรกรรมพื้นฐานต่าง ๆ เช่น บริการเอทีเอ็ม บริการบัตรเครดิต และบริการโอนเงิน เป็นต้น และยังเพิ่มขึ้นจากบริการอื่น เช่น บริการด้านการลงทุนผ่านกองทุนรวม และบริการประกันชีวิตผ่านธนาคาร เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ธนาคารมีกำไรจากการปริวรรตเงินตรา เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 7.4 เป็น 4,256 ล้านบาท
ส่วนด้านเงินลงทุน มียอดขาดทุน 2,976 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากการตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าเงินลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากความผันผวนในตลาดการเงินในสหรัฐฯ
ค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยในปี 2551 เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 6.6 เป็น 37,393 ล้านบาท ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่าย ด้านพนักงานและด้านสถานที่และอุปกรณ์ เนื่องจากมีการขยายเครือข่ายสาขา
ณ สิ้นปี 2551 ธนาคารมีสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 59,768 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ร้อยละ 109.4 โดยในปี 2551 ธนาคารมีค่าใช้จ่ายค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญรวม 6,409 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ0.57 ของสินเชื่อถัวเฉลี่ย
ส่วนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงเล็กน้อย จำนวน 37 ล้านบาท เป็น 9,081 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 31.2 ของกำไรก่อนภาษีเงินได้ ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 มีจำนวน 173,177 ล้านบาท และหากนับรวมกำไรสุทธิในครึ่งหลังของปี 2551 ด้วยแล้ว อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นและเงินกองทุนชั้นที่ 1 ตามหลักเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งนำแนวทาง Basel 2 มาบังคับใช้แล้วนั้น อยู่ในระดับที่ประมาณร้อยละ 14.6 และร้อยละ 11.9 ตามลำดับ