ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (19 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นผลมาจากความวิตกกังวลที่ว่ามาตรการฟื้นฟูภาคการเงินฉบับที่ 2 ของรัฐบาลอังกฤษจะไม่สามารถกระตุ้นอัตราการกู้ยืมในระบบได้
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ปิดลบ 38.59 จุด หรือ 0.9% แตะที่ 4,108.47 จุด
คีธ โบว์แมน นักวิเคราะห์จากบริษัท ฮาร์เกรฟ แลนส์ดาวน์ สต็อกโบรกเกอร์ส ในกรุงลอนดอน กล่าวว่า นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มธนาคารแม้มีรายงานว่า นายอลิสแตร์ ดาร์ลิง รัฐมนตรีคลังอังกฤษ ประกาศใช้มาตรการช่วยเหลือธนาคารภายในประเทศเป็นครั้งที่ 2 ด้วยการเสนอให้มีการรับประกันตราสารหนี้และสินทรัพย์ที่มีปัญหา นอกจากนี้ รัฐบาลอังกฤษจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในรอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ กรุ๊ป และลอยด์ส แบงกิ้ง กรุ๊ป และจะขยายระยะเวลาในการอัดฉีดเงินเข้าระบบการเงินของธนาคารกลางอังกฤษออกไป
แดนนี กาเบย์ อดีตนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางอังกฤษ และผู้อำนวยการของบริษัท ฟาธอม ไฟแนนเชียล คอนซัลติ้ง กล่าวว่า การดำเนินการของรัฐบาลในขณะนี้ก็คือการยึดทรัพย์สมบัติเป็นของชาติอย่างช้าๆ ระบบการรับประกันที่จะมีการนำออกมาใช้สามารถช่วยได้ แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่าต้นเหตุ
ทั้งนี้ หุ้นรอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ ดิ่งลง 67% หลังจากธนาคารเปิดเผยตัวเลขขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ภาคเอกชนอังกฤษ โดยระบุว่าธนาคารขาดทุนราว 2.8 หมื่นล้านปอนด์ (4.1 หมื่นล้านดอลลาร์) ในปี 2551 เพราะได้รับผลกระทบจากการที่รอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์เข้าซื้อกิจการบางส่วนของธนาคารเอบีเอ็น แอมโรของเนเธอร์แลนด์ในปี 2550
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มธนาคารนั้น หุ้นธนาคารลอยด์ ทีเอสบี ดิ่งลง 34% หุ้นธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ร่วงลง 8.1% หุ้นธนาคาร HSBC ร่วงลง 6.5%
หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ดีดตัวขึ้นเนื่องจากแรงซื้อเก็งกำไร โดยหุ้นแกลกโซสมิธไคลน์พุ่งขึ้น 3.5% หุ้นแอสตราเซเนกาปิดบวก 2.6% และหุ้นไชร์ ดีดขึ้น 3.7%
ส่วนหุ้นเพียร์สันพุ่งขึ้น 4.5% หลังจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์รายงานว่าผลประกอบการของเพียร์สันทะยานขึ้น 20% ในปี 2551 ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้