นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย(SCIB)คาดว่าในสัปดาห์นี้จะสามารถคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน(FA)จากที่เสนอตัวมาทั้งหมด 7 รายทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ได้คัดเลือกเบื้องต้นเหลือ 3 รายแล้ว จากนั้นจะคัดเลือกรอบสุดท้ายให้เหลือเพียง 1 รายก่อนรายงานให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และคณะกรรมการธนาคารรับทราบภายใน 4-5 สัปดาห์
ธนาคารคาดว่าต้นเดือน มี.ค.นี้น่จะมีความชัดเจนเกี่ยวกับแผนการเพิ่มทุน ซึ่งวงเงินเพิ่มทุนคงต้องรอ FA เสนอมาก่อน และเมื่อมีความชัดเจนก็จะนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนเม.ย. เพื่อตรวจสอบว่าผู้ถือหุ้นเดิม รวมถึงกองทุนฟื้นฟูฯ จะสนใจซื้อหุ้นเพิ่มทุนหรือไม่ และจะสามารถเปิดทางให้พันธมิตรใหม่เข้ามาร่วมทุนกับธนาคารหรือไม่ด้วย
"ก็มีคนสนใจแบงก์เราหลายแห่ง แต่ยังไม่มีใครติดต่ออย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่าแบงก์ก็ไม่ใช่หน่าตาขี้เหร่ เห็นได้จากผลประกอบการที่สามารถทำกำไรได้ดี...การเพิ่มทุนของธนาคารไม่ได้รีบ แต่ไม่ควรช้า เพราะธนาคารยังมีเป้าหมายขยายสินเชื่อซึ่งอาจกระทบต่อเงินกองทุน ขณะเดียวกันก็ต้องดูภาวะตลาดว่า เอื้อต่อการออกหุ้นกู้หรือไม่"นายชัยวัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ หลังเพิ่มทุนของธนาคาร เงินกองทุน (BIS) เพิ่มเป็น 13-14% จาก 11.73% ซึ่งจะใกล้เคียงกับธุรกิจธนาคารด้วยกัน
อนึ่ง ทางคณะกรรมการธนาคารได้อนุมัติให้ธนาคารออกหุ้นกู้ไม่เกิน 8 หมื่นล้านบาทเพื่อบริหารสภาพคล่อง แม้ขณะนี้ธนาคารยังไม่มีปัญหาสภาพคล่องก็ตาม
*ระวัง NPL คุมสินเชื่อกลุ่มเหล็ก
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ธนาคารเป็นห่วงลูกหนี้ในธุรกิจกลุ่มเหล็กที่อาจจะเกิดปัญหากลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) จึงต้องเข้าไปดูอย่างใกล้เชิด โดยในครึ่งแรกของปี 52 ธนาคารจะบริหารอย่างรัดกุม ส่วนครึ่งปีหลังน่าจะเดินหน้าทำได้เต็มรูปแบบ เพราะเขื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ทั้งนี้ ธนาคารวางเป้าหมายปรับลด NPL ลงเหลือ 5.5% จาก 7.56% ในปี 51 โดยมีการตั้งทีมบริหารจัดการลูกค้าทั้งก่อนจะเป็น NPLจนถึงเป็น NPL ส่วน NPA ธนาคารจะพัฒนารูปแบบการขายด้านการตลาดมากขึ้น
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า สิ้นปี 51 ธนาคารมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(Gross NPL)7.56% เพิ่มจากปี 50 อยู่ที่ 6.84% เนื่องจาก ธนาคารต้องตั้งสำรองหนี้ในธุรกิจโรงแรมที่ร่วมทุนกับเลห์แมน บราเธอร์ส และ บริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ที่ดำเนินโครงการร่วมกับภาครัฐ และได้ชะลอโครงการไป รวมวงเงิน 2 พันล้านบาท
และในปี 51 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 4.13 พันล้านบาท ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในระดับ 4.7 พันล้านบาท เป็นเพราะผลกระทบจากการตั้งสำรองด้อยค่าเงินลงทุนใน บล.นครหลวงไทย โดยในสัปดาห์หน้าจะจัดประชุมบริษัทในเครือเพื่อปสรุปแผนงานในปี 52 ซึ่งบริษัทที่มีปัญหาก็จะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและควบคุมการดำเนินธุรกิจเน้นความแข็งแรง ส่วนบริษัทที่ยังเป็นประโยชน์ ธนาคารก็พร้อมบริหารร่วมงานต่อไป เช่น ราชธานีลีสซิ่งที่ยังเติบโตและอาจจะแพิ่มทุนในปีนี้
นอกจากนี้ นายชัยวัฒน์ ยังคาดว่าธนาคารจะขยายสินเชื่อ 6-7% เป็นสินเชื่อใหม่ 1.8 หมื่นล้านบาท จากสินเชื่อทั้งระบบที่น่าจะเติบโต 5% ภายใต้อัตราการขยาบตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ 0-2% ในปีนี้
ส่วนบุคคลากรรยังมีการพัฒนาต่อเนื่อง โดยธนาคารยังมีนโยบายรับพนักงานเพิ่มเติม เพราะมีการขยายงานโดยเฉพาะด้านไอที รองรับกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่คาดว่าจะมีการแข่งขันรุนแรง ส่วนสาขาใหม่ตั้งเป้าเพิ่มอีก 15-20 แห่งในเฉพาะพื้นที่เป้าหมาย
นอกจากนี้ ในพรุ่งนี้ธนาคารจะมีการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งตอนนี้มีสัญญาณชัดเจนการลดดอกเบี้ยทั้งจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)และ 4 แบงก์ใหญ่