"ทริส" จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ใหม่ 2.5 พันลบ.ของ CK ที่ “BBB+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 21, 2009 13:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,500 ล้านบาทของ บมจ. ช. การช่าง (CK) ที่ระดับ “BBB+" พร้อมกันนี้ยังประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

โดยบริษัทจะนำรายได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไว้เป็นเงินสำรองเพื่อการไถ่ถอนหุ้นกู้มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาทในช่วงปลายปีนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทย ผลงานที่เป็นที่ยอมรับในโครงการก่อสร้างภาครัฐและโครงการที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และความสามารถในการสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอจากการลงทุนในกิจการสัมปทาน

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่บั่นทอนอันดับเครดิตบางส่วน ได้แก่ จำนวนโครงการก่อสร้างในมือ (Backlog) ที่กระจุกตัว ภาระหนี้ที่สูงจากการลงทุนในกิจการสัมปทาน ความเสี่ยงจากสัญญาก่อสร้างแบบคงที่ (Fixed-price Contract) และแรงกดดันต่อผลกำไรจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัท ช. การช่าง จะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดและดำเนินตามกลยุทธ์การขยายธุรกิจด้วยการเลือกลงทุนในกิจการสัมปทานที่มีคุณภาพดีเพื่อมิให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นไปจากระดับปัจจุบัน

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัท ช. การช่างเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่จำนวน 3 รายของประเทศ บริษัทมีประสบการณ์ด้านการก่อสร้างที่หลากหลายตั้งแต่งานโยธาโครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงโครงการที่มีความซับซ้อนสูง ประสบการณ์ที่หลากหลายดังกล่าวเมื่อรวมกับการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำจากต่างประเทศยิ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้แก่บริษัท รายได้จากธุรกิจก่อสร้างของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นจาก 6,852 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 13,440 ล้านบาทในปี 2550 อย่างไรก็ดี อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทลดลงอย่างมากจาก 16.5% มาอยู่ที่ 4.2% ในช่วงเดียวกันเนื่องจากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงและต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น บริษัทมีงานรับเหมาก่อสร้างในมือประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ในโครงการเขื่อนน้ำงึม 2 มูลค่าของงานในมือของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นหลังการลงนามในสัญญาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญาที่ 1 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 16,700 ล้านบาท

ธุรกิจสัมปทานของบริษัท ช. การช่างครอบคลุมโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานหลายประเภท ได้แก่ ทางด่วน รถไฟฟ้าใต้ดิน น้ำประปา และไฟฟ้า โดย ณ เดือนกันยายน 2551 เงินลงทุนรวมในกิจการสัมปทานประกอบด้วยการถือหุ้นใน บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL) จำนวน 16.5% ใน บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) 24.6% ใน บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด 38.0% และใน บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) (TTW) 35.3% โดยที่ TTW ถือหุ้น 98.0% ใน บริษัท ประปาปทุมธานี จำกัด (PTW) เนื่องจากเงินที่ใช้ในการลงทุนในโครงการสัมปทานต่างๆ ของบริษัทส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ยืม จึงส่งผลให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากเงินปันผลและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน BECL และ TTW ในขณะที่ BMCL ยังมีผลประกอบการขาดทุนอยู่ ส่วนโครงการเขื่อนน้ำงึม 2 ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ SEAN นั้นยังอยู่ในช่วงการก่อสร้างและคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ภายในปี 2554

บริษัท ช. การช่างมีฐานะทางการเงินที่ต่ำกว่าคาดซึ่งสะท้อนถึงภาระหนี้ที่สูงแม้ว่าอัตราส่วนกำไรต่อรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 จะปรับตัวดีขึ้น อัตราส่วนหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับสูง ในขณะที่สภาพคล่องยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ด้วยแรงหนุนบางส่วนจากการถือครองหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องดีจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังคงกังวลเกี่ยวกับภาระผูกพันทางการเงินของบริษัทในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับการซื้อเครื่องจักร การให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทลูกในฐานะผู้ถือหุ้น และโครงการลงทุนในสัมปทาน ซึ่งอาจเป็นปัจจัยจำกัดความสามารถในการลดภาระหนี้ของบริษัทได้ในระยะปานกลาง ความสามารถในการก่อหนี้เพิ่มของบริษัทยังมีข้อจำกัดจากข้อกำหนดสิทธิในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับไม่เกิน 2.5 เท่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2551 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 2.4 เท่า แต่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับเกินกว่า 2.0 เท่าเล็กน้อยสำหรับช่วงสิ้นปี 2551

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าความเสี่ยงของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อยในระยะสั้นจากภาวะตลาดสินเชื่อที่ตึงตัวและความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าเงินลงทุนและฐานทุนของบริษัท ดังนั้น ภาระหนี้ของบริษัทที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบต่อความยืดหยุ่นทางการเงินตลอดจนสถานะอันดับเครดิตของบริษัทด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ