โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะ"ซื้อ"หุ้นร้าน 7-Eleven อย่าง บมจ.ซีพีออลล์(CPALL)มองเป็นหุ้นที่ปลอดภัยในช่วงตลาดขาลง เพราะร้านสะดวกซื้อน่าจะได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐได้เร็วสุด ขณะที่บริษัทยังเดินหน้าขยายสาขาใหม่เพิ่ม 450-500 สาขา ทำให้รายได้และกำไรโตต่อเนื่อง แม้อาจจะไม่ดีเท่าปี 51 แต่ก็ยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 4% รวมทั้งปี 52 ไม่มีภาระขาดทุนโลตัสเซี่ยงไฮ้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาราคาหุ้น CPALL ได้ปรับมารอบหนึ่งแล้ว บางรายจึงแนะ"รอซื้อเมื่ออ่อนตัว"โดยราคาหุ้นปิดช่วงเช้าวันนี้(21 ม.ค.)ที่ 11.60 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง หลังขึ้นไปสูงสุดที่ 11.70 บาท สวนทางภาวะตลาดที่ปรับตัวลงเล็กน้อย โดยราคาหุ้น CPALL ขึ้นไปสูงสุดที่ 13.00 บาท เมื่อ 6 ม.ค.ทีผ่านมา
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.เอเซียพลัส ซื้อ 14.60 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 14.50 บล.ซิกโก้ ซื้อ 14.20 บล.ไอร่า ซื้อ 13.90 บล.เกียรตินาคิน ซื้อเมื่ออ่อนตัว 12.80 สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ถือ 10.40
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า CPALL เป็นหุ้นที่น่าลงทุนมากที่สุดในกลุ่มค้าปลีก ในปี 52 ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่โต และคาดว่ายอดขายในสาขาเดิมอาจจะทรงตัว แต่เมื่อรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา โดยเฉพาะการเพิ่มอำนาจซื้อให้กับประชาชน ก็น่าจะทำให้ยอดขายร้าน 7-11 เติบโตขึ้นได้ ประกอบกับ บริษัทยังมีแผนงานเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 450 สาขา และปีนี้ก็ไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจากโลตัสเซี่ยงไฮ้แล้ว เท่ากับปีนี้รับ 2 เด้ง
ดังนั้น คาดว่ายอดขายร้าน 7-11 ปีนี้จะโตไม่ต่ำกว่า 10% แม้ว่ารายได้รวมของบริษัทจะหดตัว เพราะไม่มีรายได้จากโลตัสเซี่ยงไฮ้ ส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะโตประมาณ 17% จากปี 51 คาดเติบโต 145% ซึ่งถือว่าเติบโตสูงสุดในกลุ่มค้าปลีก
"ราคาตอนนี้ขึ้นมาเยอะหลังจากที่บริษัทตัดขายโลตัสเซี่ยงไฮ้ไป ราคาขึ้นมาค่อนข้างเยอะ อัตราการจ่ายเงินปันผลเทียบกับราคาตอนนี้จะมี 4.9% ในปี 51 และปี 52 คาดว่าจะมี divided yield 4.3% ณ ราคาปัจจุบัน คิดแล้วเทียบกับฝากแบงก์ก็ดีกว่าอยู่แล้ว ความเสี่ยงก็ต่ำ แม้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่บริษัทก็ยังเติบโต ในปี 52 ถึงจะโตไม่สูง อาจจะทรงๆ หรือกำไรนิดหน่อย" นักวิเคราะห์จากบล.เอเชียพลัส กล่าว
ส่วนในช่วงไตรมาส 4/51 คาดว่าโต 2% จากไตรมาส 4/50 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/51 ก็จะต่ำกว่า เนื่องจาก ในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.ยอดขายสาขาเดิมอาจเติบโตไม่มาก เพราะได้รับผลกระทบจากการปิดสนามบิน ทำให้สาขาที่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวและสาขาตามปั๊มน้ำมันได้รับผลกระทบด้วย แต่เดือนต.ค.ยอดขายค่อนข้างโตดี และแผนกระตุ้นยอดขาย โดยใช้แสตมป์เงินแสตมป์ทอง ก็ข่วยทำให้ยอดขายเติบโตได้ดี รวมทั้งในปี 51 เปิดสาขาใหม่เกือบ 500 สาขา
นอกจากนี้ การขายโลตัสเซี่ยงไฮ้ออกไปตามกระบวนการที่เสร็จสิ้นลงในเดือนต.ค.51 ทำให้ไตรมาส 4/51 รับรู้ผลขาดทุนของโลตัสเซี่ยงไฮ้เพียง 1 เดือน ซึ่งการรับรู้ผลขาดทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ด้าน บล.เกียรตินาคิน มองว่า แม้ผลประกอบการปกติปี 51 ของ CPALL มีแนวโน้มต่ำกว่าประมาณการของเราเล็กน้อย แต่ก็ยังคาดว่าจะเติบโตโดดเด่น 147% จากปีก่อนเป็น 3,210 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการรับรู้ผลขาดทุน Lotus ในจีนลดลง 54% จากปีก่อน ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ขยับขึ้นเป็น 23.9% ตามสัดส่วนยอดขายสินค้ากลุ่มอาหาร ขณะเดียวกันการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญดังกล่าว ทำให้เราประมาณการเงินปันผลปี 51(อิงสมมติฐานอัตราการจ่ายเงินปันผล 55%)จะจ่ายหุ้นละ 0.40 บาท คิดเป็น Dividend yield 3.5%(จ่ายปีละครั้ง)
แม้ธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะมีความเสี่ยงต่อผลกระทบจากการระมัดระวังการใช้จ่ายของผู้บริโภคน้อยกว่าค้าปลีกอื่น อีกทั้งมีฐานะการเงินดีขึ้น หลังไม่ต้องรวม Lotus ในจีน เต็มปี 52 แต่ความเสี่ยงด้านภาพรวมเศรษฐกิจในปี 52 ที่มีแนวโน้มชะลอตัว รวมทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังค่อนข้างต่ำ
ทำให้ประมาณการปี 52 ของ CPALL อย่างระมัดระวัง คาดจะมีกำไรปกติ 3,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนมีกำไรปกติต่อหุ้น 0.77 บาท และคาดจะจ่ายเงินปันผลปี 52 หุ้นละ 0.40 บาท (yield 3.5%) การเติบโตภายใต้ความเสี่ยงมีปัจจัยหนุนจากการขยายสาขาต่อเนื่อง โดยปีนี้ตั้งเป้าขยายสาขาใหม่ 400-550 สาขา แบ่งสัดส่วน 60% เป็นสาขาต่างจังหวัด 40% เป็นสาขาในกรุงเทพฯ และการบริหารสินค้า
"สัดส่วนสินค้ากลุ่มอาหาร(Food) ชูจุดแข็งของร้านเพื่อเพิ่มอัตรากำไรของร้านฯ อย่างไรก็ดีเรามองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และฟื้นความเชื่อมั่นของรัฐบาลที่ยังไม่เห็นผลบวกชัดเจน จะทำให้ผลประกอบการ ครึ่งแรกปี 52 มีแนวโน้มชะลอตัว ประกอบกับเริ่มมี upside จำกัดจากมูลค่าเหมาะสมปี 52"บทวิเคราะห์ระบุ
สถาบันวิจัยนครหลวงไทย(SCRI) มองว่า ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ CPALL จะได้รับผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านบวกและลบ โดยในด้านบวกที่ภาครัฐจะช่วยลดภาระของประชาชน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโดยสาร มีโอกาสที่ผู้บริโภคจะนำเงินออมที่ได้จากค่าใช้จ่ายที่ลดลงดังกล่าวมาใช้จ่ายแล้ว ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกเช่น CPALL จะได้รับประโยชน์ แต่การบริโภคที่เกิดจากการสนับสนุนของรัฐบาลในครั้งนี้จะไม่ยั่งยืน โดยคาดว่าจะเห็นผลชัดเจนใน Q2/52 เท่านั้น
มองด้านลบ เห็นได้ว่า นโยบายลดรายจ่ายค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้า ส่งผลให้การใช้บริการ Counter Service ลดลง ซึ่งสัดส่วนการใช้บริการ Counter Service สำหรับการจ่ายค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าคิดเป็นประมาณ 30 — 40% ของการใช้บริการทั้งหมด ดังนั้น SCRI ประเมินว่าการใช้ 5 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาลอาจส่งผลให้จำนวนลูกค้าเข้าร้าน 7-11 ลดลงได้ ซึ่งอาจส่งผลลบต่อยอดขายของร้าน 7-Eleven
"แม้ว่าในระยะสั้นราคาหุ้น CPALL มีแนวโน้มที่จะ Outperform ตลาดเพราะนักลงทุนอาจจะเลือกใช้เป็น Safe Haven ในช่วงตลาดขาลง ดังนั้นจึงมีความโอกาสสูงที่ราคาหุ้นจะ Underperform ตลาด หลังจากที่นักลงทุนคลายความกังวลจากวิกฤตเศรษฐกิจ"บทวิจัยของ SCRI ระบุ