บลจ.ทิสโก้ออกกองตราสารหนี้ในประเทศ"สเปเชียล พลัส 7" คาดขาย23—30ม.ค.นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 21, 2009 15:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการลงทุน ธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคลบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เสนอ "กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 7" กองตราสารหนี้ต่อเนื่องจาก "กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 6" ที่เสนอขายเมื่อต้นเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา โดยมีนโยบายการลงทุนเช่นเดียวกัน นั่นคือเป็นกองตราสารหนี้ในประเทศ ที่มุ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเอกชนในประเทศที่มีคุณภาพ โดยมีระยะเวลาลงทุนประมาณ 2 ปี จ่ายผลตอบแทนสม่ำเสมอทุกๆ 6 เดือน (Auto Redemption)

"กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 7" กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. โดยมีอายุโครงการประมาณ 2 ปี มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 20,000 บาท โดยคาดว่าจะเสนอขายในวันที่ 23—30 ม.ค. 52 นี้

นายสห์รัช กล่าวว่า การที่ บลจ. ทิสโก้ เลือกออกกองตราสารหนี้อายุ 2 ปี เนื่องจากมองว่าเป็นระยะเวลาที่ผู้ลงทุนสามารถรับได้ เพราะไม่นานจนเกินไป ผู้ลงทุนจึงควรล็อกผลตอบแทนเอาไว้ประมาณ 2 ปี ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะลดต่ำลงไปอีก เพราะเชื่อว่าเมื่อกองทุนครบอายุ ผู้ลงทุนจะได้ลงทุนต่อในอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า

จากการที่เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างมากจากวิกฤติเศรษฐกิจในอเมริกา ทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบเหมือนกับประเทศอื่นๆ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ระดับ 2.00% ในการประชุมครั้งล่าสุด และคาดว่าจะลดดอกเบี้ยลงอีกอย่างต่อเนื่อง โดยมีความเป็นไปได้มากที่จะถูกปรับลดลงสู่ระดับ 1-1.5% ภายในกลางปีนี้ ซึ่งทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในทุกช่วงอายุปรับตัวลดลง ซึ่งปัจจุบันก็ลดลงมามากแล้วตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 51 โดยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1-2 ปี ตอนนี้ให้ผลตอบแทนประมาณ 1.7-1.9% เท่านั้น เราจึงมองว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลระยะปานกลางถึงระยะยาวให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าสำหรับการลงทุนอีกต่อไป ในขณะตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีเรตติ้งดี ตั้งแต่ A- ขึ้นไป มีความน่าสนใจกว่า เพราะให้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม หรือ Credit spread ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุใกล้เคียงกัน

อีกทั้ง เชื่อว่าบริษัทเอกชนที่สามารถออกหุ้นกู้ได้ยังคงมีความสามารถในการชำระคืนหนี้ในระดับที่ดี เนื่องจากหลายบริษัทมีหนี้สินอยู่ระดับต่ำเมื่อเทียบกับทุน และมีความแข็งแกร่งทางการเงินกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 มาก ดังนั้นหากนักลงทุนต้องการเปิดโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากและพันธบัตรรัฐบาล แต่ยังไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการเล่นหุ้น แนะนำว่าควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนมากขึ้น และให้ลดน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะ 3-5 ปีขึ้นไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ