นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์(LPN)เปิดเผยว่า บริษัทปรับกลยุทธพร้อมรับมือกับสถานการณ์ปี 52 ที่กำลังซื้อได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยบริษัทจะเน้นความรวดเร็ว ทั้งการก่อสร้างและการขายโครงการ การรับรู้รายได้ การบริหารสต็อก และเน้นถือเงินสด พร้อมทั้งเพิ่มกิจกรรมการตลาด และเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง
ในปี 52 การเติบโตของรายได้ LPN คงไม่หวือหวา แต่ก็เชื่อว่าจะยังเติบโตได้ถึง 10-15% แม้ว่าจะเป็นอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 51 ที่คาดว่ารายได้เติบโต 20-30% หรือมีรายได้ 7.2 พันล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่ในปีนี้จะมาจากการรับรู้รายได้โครงการที่เปิดตัวตั้งแต่ปีก่อนและโครงการที่จะเปิดใหม่ในปีนี้บางส่วน ปัจจุบันบริษัทมี Backlog 9 พันล้านบาท-1 หมื่นล้านบาท แบ่งทยอยรับรู้ฯปีนี้ 7 พันกว่าล้านบาท และที่เหลือจะไปรับรู้ฯปี 53
"ในปีนี้เราคงไม่ได้ให้น้ำหนักในการเติบโตเท่าไรเพราะสถานการณ์อย่างนี้ แต่ไม่ใช่ไม่โต ผมยังเชื่อว่าภายใต้ทำเลที่ดีและราคาที่ขายไม่แพง 1 ล้านบาทนิดๆ ทำให้ยังเป็นที่สนใจ เพียงแต่การโตคงไม่หวือหวาเท่านั้น เมื่อเทียบกับที่ผ่านๆมา"นายโอภาส กล่าว
กรรมการผู้จัดการ LPN กล่าวว่า บริษัทหันมาให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารสต็อคให้เร็วขึ้นเพื่อการถือเงินสดไว้ และยังเป็นการบริหารสภาพคล่องรองรับในอนาคต รวมทั้งการร่นระยะเวลาในการก่อสร้างให้เร็วขึ้นมาเหลือ 11 เดือนจากเดิมที่จะใช้ระยะเวลา 12 เดือนเพื่อลดความเสี่ยงฃ
ขณะนี้บริษัทมีสต็อคเหลืออยู่ 2 โครงการ ประมาณแห่งละ 10% หรือมูลค่าราว 600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะบริหารและขายให้ได้ภายใน 3-6 เดือนข้างหน้าด้วยการเร่งทำการตลาดเพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ จากเดิมที่ไม่เคยทำการตลาดในโครงการที่เปิดตัวไปแล้ว แต่ไปเน้นในโครงการใหม่มากกว่า หากขายได้เร็วก็จะทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เร็ว โดยบริษัทจะเพิ่มงบการตลาดในปีนี้เป็น 100 ล้านบาท จากปีก่อนที่ใช้ไปราว 80 ล้านบาท
แม้สถานการณ์รอบด้านที่เกิดขึ้นจะกดดัน แต่บริษัทยังคงแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ในปี 52 จะเปิดโครงการใหม่ราว 6-8 โครงการ มูลค่ารวม 1 หมื่นล้านบาท โดยการพัฒนาโครงการจะพิจารณาที่ความต้องการของตลาดเป็นสำคัญ รวมทั้งทำเล
LPN จะปรับรูปแบบเป็นการพัฒนาโครงการขนาดเล็กในบริเวณที่มีความต้องการที่พักอาศัยสูง หลังพบว่าการเปิดตัวโครงการ"ลุมพินี วิลล์ บางแค"ราคายูนิตละ 8 แสนกว่าบาทในช่วง ธ.ค.51 ได้รับการตอบรับที่ดีทั้งที่บรรยากาศไม่เอื้ออำนวย ถือกลยุทธที่สอดรับกับสภาวะเศรษฐกิจที่แม้ว่าผู้บริโภคจะชะลอการใช้จ่ายลง แต่ความต้องการที่พักอาศัยซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบริษัทก็อาจจะเอารูปแบบโครงการนี้มาเป็นต้นแบบในการพัฒนาต่อไป
"เราต้องปรับและรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ โดยเฉพาะการมีเงิดสดไว้จะปลอดภัยแม้ตอนนี้สภาพคล่องในเรื่องเงินสดเรามีเยอะ 1-2 พันล้านบาทก็ตาม และการที่ภาครัฐมีมาตราการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ออกมานั้นแสดงให้เห็นว่าภาครัฐให้ความสำคัญในการให้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มจำนวนดีมานด์เพิ่มขึ้น และยังส่งผลให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อ(Reject Rate)ลดลงน้อย "นายโอภาส กล่าว
นายโอภาส เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1/52 จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 2-3 โครงการ ได้แก่ ย่านรามอินทรา-หลักสี่ ซึ่งมีที่ดินอยู่แล้วกว่า 4 ไร่ จะพัฒนาโครงการมูลค่า 700-800 ล้านบาทเปิดขายในช่วงปลาย ก.พ-ต้น มี.ค., ย่านประชาชื่น-พงเพชร ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ และ โครงการพระราม 9 ซึ่งเป็นการเปิดเฟส 2 เป็นที่ดินที่มีอยู่แล้ว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินในปีนี้ประมาณ 1.2-1.5 พันล้านบาท โดยได้ซื้อไว้แล้ว 2 แห่ง
นายโอภาส กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งหลังของปี 51 ได้มากกว่าครึ่งปีแรกที่จ่าย 0.14 บาท/หุ้น โดยรายได้ในปี 51 มากกว่าปี 50 ที่มีรายได้ 6.7 พันล้านบาท