SCC คาดปี 52 ยอดขายลดลง 10% ยังหวังมีกำไรจากราคาปิโตรฯ-ดีมานด์ฟื้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 28, 2009 16:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)กล่าวว่า ในปี 52 บริษัทคาดว่ายอดขายจะลดลง 10% จากปี 51 อยู่ที่ 2.93 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นประมาณการยอดขายลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 43 แต่บริษัทมั่นใจว่ายังสามารถทำกำไรได้ จากผลสำเร็จการบริหารต้นทุนและพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ประกอบกับราคาและความต้องการสินค้าในเครือฟื้นตัวขึ้น และที่สำคัญเชื่อว่าจะมีผลขาดทุนจากสินค้าคงเหลือ(stock loss)เหมือนในช่วงไตรมาส 4/51

"เราเริ่มเห็นแนวโน้มความต้องการใช้และราคาสินค้าปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 1 และมั่นใจว่าเราไม่ต้องตัดขาดทุนมูลค่าสินค่าคงเหลืออีกแล้ว และเชื่อว่าโอกาสที่ราคาสินค้าจะปรับลดลงอย่างรุนแรงจะเกิดขึ้นยากและทั้งปี 52 เรายังมั่นใจว่าจะมีกำไรเพราะมองว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้น่าจะกระทบน้อยกว่าปี 40 สำหรับเครือซิเมนต์ไทย"นายกานต์ กล่าว

ในปีนี้มีการลดต้นทุนด้านพลังงานโดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานได้ปีละ 1.6 พันล้านบาท ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะปิโตรเคมีมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากปีก่อน โดยช่วงเดือน ม.ค.อัตรามาร์จินของผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีนอยู่ที่ 429 เหรียญสหรัฐ/ต่อตัน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ส่วน HDPE มาร์จินอยู่ที่ระดับ 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน ถือว่าเป็นระดับที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับช่วงปี 51 ที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนวัตถุดิบคือนาฟทาในราคาสูง

ปัจจุบันนาฟทาลงมาอยู่ที่ประมาณ 300-400 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากที่เคยขึ้นไปสูงถึง 800-1,00 เหรียญสหรัฐ/ตันในช่วงน้ำมันแพง โดยในช่วงนั้นบริษัทขาดความสามารถในแข่งขัน และความสามารถในการขายผลิตภัณฑ์เมื่อเทียบกับผู้ผลิตรายอื่นที่ใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบ

นายกานต์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ 2 ชุดในปีนี้ ชุดแรก 2 หมื่นล้านบาท ทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอน 1.5 หมื่นล้านบาทในเดือนเม.ย.นี้ และจะใช้เงินส่วนหนึ่งเพื่อเสริมสภาพคล่องในการลงทุน ส่วนช่วงก่อน เดือน ต.ค.52 กำลังพิจารณาจะออกหุ้นกู้อีก 1 ชุด ทดแทนหุ้นกูกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอน 1 หมื่นล้านบาท โดยอายุหุ้นกู้เป็น 4 ปีเหมือนเดิม

บริษัทมั่นใจว่าหุ้นกู้จะได้รับความสนใจและสามารถขายหมดทั้งจำนวน แม้ว่าบริษัทจะออกหุ้นกู้ต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 51 ซึ่งปัจจุบันจากการเตรียมสภาพคล่องทางการเงิน โดยมีเงินสด ณ สิ้นปี 51 สูงถึง 2.67 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าจะสามารถผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ประกอบกับ ยังมีวงเงินกู่ผ่านสถาบันการเงินเพิ่มได้อีกเนื่องจากปัจจุบัน DE ของบริษัทต่ำมาก

สำหรับแผนการลงทุนปี 52 คาดว่าจะใช้เงินราว 3.5-4 หมื่นล้านบาท เป็นการลงทุนในโครงการต่อเนื่อง ทั้งโรงโอเลฟินส์ที่มาบตาพุด และโรงงานกระดาษที่เวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ โดยงบลงทุนปีนี้ลดลงจากปี 51 ที่ใช้ประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท

แต่สำหรับงบลงทุนในแผน 5 ปี (2009-2013) จำนวนกว่า 1 แสนล้านบาท ขณะนี้ชะลอออกไปโดยไม่มีกำหนด โดยอาจจะกลับมาทบทวนอีกครั้งหากวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้ผ่านไปแล้ว โดยโครงการที่ชะลอออกไป ได้แก่ โรงงานปูนซิเมนต์ที่อินโดนีเซีย และ โรงงานปูนซิเมนต์ในเวียดนาม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม จากวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ทำให้บริษัทมีโอกาสในการลงทุนเพิ่มมากขึ้นในการเข้าเทคโอเวอร์กิจการที่ประสบปัญหาการเงิน เช่น โรงปูนซิเมนต์หลายแห่งในต่างประเทศที่เริ่มมีการเจรจากันบ้างแล้ว ดังนั้น บริษัทเห็นว่าจะหันมาใช้แนวทางการเทคโอเวอร์มากกว่าการลงทุนเองตั้งแต่เริ่มต้นซึ่งให้ผลตอบแทนช้ากว่าและใช้เงินลงทุนสูง

ทั้งนี้ SCC ยังยืนยันเป้าหมายปี 2015 จะเป็นผู้นำในธุรกิจซิเมนต์ของอาเซียน แม้ว่าขณะนี้บริษัทจะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ แต่เครือ SCC ยังไม่มีนโยบายปลดพนักงานประจำที่ปัจจุบันมีอยู่ระมาณ 2.7 หมื่นคน และพนักงานรับเหมาช่วงที่มีกว่า 1 หมื่นคน

นายกานต์ กล่าวว่า ธุรกิจปิโตรเคมีในปีนี้ยังคาดการณ์ได้ยากว่าจะสร้างรายได้เติบโตให้กับบริษัทได้หรือไม่ เนื่องจากปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลง แม้ว่าราคายังดี

แต่ธุรกิจซิเมนต์คาดว่าอาจจะติดลบต่อเนื่องจากปี 51 แม้ว่าปริมาณการใช้น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 52 จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกืจของภาครัฐ แต่โครงการขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วงกว่าจะมีการใช้ปูนซิเมนต์จริงในช่วงไตรมาส 1/53 ส่วนการส่งออกปูนซิเมนต์ปีนี้คาดว่าจะลดลงเหลือ 5-6 ล้านตัน จากปีก่อนที่ส่งออก 8.2 ล้านตัน เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกและราคาขายที่ปรีบตัวลดลงจากเดิมที่สูงถึง 40 เหรียญสหรัฐ/ตัน ปัจจุบันเหลือ 35-37 เหรียญสหรัฐ/ตัน

ด้านธุรกิจกระดาษ มองว่าปีนี้บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากโรงงานกระดาษที่เวียดนามแล้วเสร็จ แต่อย่างไรก็ตามราคากระดาษอาจจะมีทิศทางที่ลดลงตามภาวะตลาดโลก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ