นางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) เปิดเผยว่า บริษัทคงจะชะลอแผนการเพิ่มทุนกองทุนอสังหาริมทรัพย์อีก 3,000 ล้านบาทตามที่วางเป้าหมายไว้ออกไปอีก 2 ปี เนื่องจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้บริษัทกังวลว่าหากออกมาเสนอขายหน่วยลงทุนในขณะนี้อาจจะไม่ได้รับความสนใจ
แต่อย่างไรก็ตาม การชะลอจะไม่กระทบต่อการเติบโตของรายได้ในปีนี้ที่บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่รวม 9 โครงการ มูลค่ากว่า 1 หมื่นกว่าล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/52 จะเปิดขาย 3 โครงการ เน้นแนวราบ คือ บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์
และในปีนี้คงจะไม่เห็นการลงทุนในการซื้อที่ดินใหม่มากนัก เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีที่ดินอยู่จำนวน 20 แปลงสามารถรองรับการพัฒนาโครงการได้ 2 ปี เพียงแต่จะมีเม็ดเงินที่จะต้องจ่ายค่าที่ดินตามสัญญาที่เป็นภาระผูกพันจากปี 51 เพียง 600 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งการที่บริษัทลดเม็ดเงินซื้อที่ดินในปีนี้ถือว่าลดลงมากมื่อเทียบกับปีก่อนที่จะใช้เม็ดเงินในการซื้อที่ดินเฉลี่ย 3-4 พันล้านบาท เพราะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวรวมถึงต้องเน้นการบริหารสต็อกบ้านสร้างก่อนขายเพื่อรักษาสภาพคล่อง
นางสุวรรณา กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคงจะปรับแผนการดำเนินงานหลายอย่างภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวโดยเฉพาะการบริหารสภาพคล่อง ซึ่งจากปัญหาดังกล่าวบริษัทจึงปรับลดงบลงทุนเหลือ 6,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ใช้ 10,000 ล้านบาท โดยจะเป็นงบที่ใช้ในการก่อสร้าง 5,000 ล้านบาท จากปี 51 อยู่ที่ 6,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังเน้นกลยุทธการบริหารความเสี่ยง โดยพยายามบริหารสต็อกที่เป็นบ้านสร้างเสร็จให้เหลือ 1 เดือน จากภาวะปกติที่จะใช้ระยะเวลา 2 เดือนกว่า เนื่องจากดีมานด์และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนั้น การบริหารสต็อกจะทำให้มีเงินสดเข้ามาได้เร็ว และยังเป็นการรองรับความเสี่ยงด้วย ปัจจุบันบริษัทมีสต็อกบ้านสร้างเสร็จแล้ว 300 กว่ายูนิต
อย่างไรก็ตาม จากการปรับการงบลงทุนแล้วบริษัทก็มีแผนที่จะออกหุ้นกู้จำนวน 1.3 พันล้านบาท ในช่วงเดือน ก.พ.-ต้นมี.ค.52 ซึ่งการออกหุ้นกู้ดังกล่าวถือเป็นช่องทางการระดมทุนที่มีต้นทุนต่ำและเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีและที่ผ่านมาก็ขายได้ทั้งหมดเพราะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ โดยปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสด 1,000 ล้านบาท
"ปีนี้สิ่งที่ท้าทายคือจะทำอย่างไรให้บริษัทอยู่รอดได้ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ สิ่งที่สำคัญคือการรักษาสภาพคล่องจะเป็นสิ่งที่แก้ไขได้จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวแต่กำไรคงจะเป็นเรื่องรอง แต่ถึงแม้กำไรจะเป็นเรื่องรองแต่ก็ไม่ได้กังวลว่าจะลดลง" นางสุวรรณา กล่าว
ส่วนกำไรสุทธิของปี 51 ที่จะประกาศในเร็ว ๆนี้ เชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่เติบโตไม่ต่ำกว่า 30% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น(gross profit margin)เพิ่มขึ้น เพราะส่วนใหญ่จะเป็นโครงการใหม่ให้อัตรากำไรที่ดี โดยคาดว่าในปี 51 จะอยู่ที่ 33% จาก 27% ในปี 50
ขณะที่ความสามารถในการจ่ายปันผลจะเป็นเท่าไรนั้น คงขึ้นอยู่กับการประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือนเม.ย.นี้ ซึ่งโดยปกติปี 50 ก็จ่ายของงวดปี 49 ที่ 40% จากนโยบายไม่เกิน 50%
ความคืบหน้าของการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมย่านหลังสวนและคอนโดมิเนียมที่ถนนสาทร ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างซึ่งคาดว่าจะเริ่มขายได้ในไตรมาส 3/52 นี้