นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ทิสโก้ กล่าวว่า ในปี 52 บริษัทมีแผนในการทำธุรกิจเชิงรุกเพื่อขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง หวังรักษาผลประกอบการภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย โดยในปีนี้จะมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าทั้งบุคคลและลูกค้าสถาบันในประเทศและต่างประเทศ ทำให้บริษัทยังเชื่อว่าส่วนแบ่งการตลาดในปีนี้ยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.2% จากปี 51 ที่มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 2.7%
ทั้งนี้ ในส่วนลูกค้าบุคคลบริษัทจะมุ่งเน้นในการให้บริการโดยการกระชับความสันพันกับกลุ่มลุกค้าหลัก และให้คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Wealth Management ซึ่งครอบคลุมการลงทุนทุกรูปแบบ ไม่จำกัดเฉพาะการลงทุนในตลาดทุน รวมถึงการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ทองคำ และอนุพันธ์
ขณะที่ลูกค้าสถาบันในประเทศจะเน้นการให้บริการตามความต้องการแบบ Tailor-made service งานวิจัยประเภท The Matic Research และการเข้าถึงผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน และการจัดกิจกรรมต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน
ส่วนลูกค้าสถาบันต่างประเทศ จะมุ่งเน้นการให้บริการในรูปแบบการลงทุนในระยะยาว และกองทุนที่เน้นคุณค่าหุ้น Value Fund การจัดกิจกรรมในต่างประเทศ(โรดโชว์) เพื่อแนะนำงานวิจัยและการให้บริการลูกค้า ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีการโรดโชว์ 1-2 ครั้ง
สำหรับแนวโน้มมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของตลาดในปีนี้ นายไพบูลย์ คาดว่าจะลดลง 21.3% จากปี 51 มาที่ 12,496 ล้านบาท จาก 15,870 ล้านบาท กลุ่มที่จะมีมูลค่าซื้อขายลดลงมากที่สุด คือ กลุ่มลูกค้าสถาบันต่างประเทศ ที่คาดว่าจะลดลงประมาณ 35% ส่วนรายย่อยและสถาบันในประเทศ 15% และ 20% ตามลำดับ
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบล.ทิสโก้ได้ออกไปทำโรดโชว์ที่ฮ่องกงและสิงคโปร์ พบว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังกังวลเรื่องการเมืองของไทย และมาตรการต่างๆ ของภาครัฐที่ยังมีความสับสน รวมทั้งอนาคตของโครงการเมกะโปรเจ็คว่าเกิดขึ้นได้จริง แนวโน้มเศรษฐกิจถดถอย และยอดหนี้ด้อยคุณภาพ(NPL)ทำให้ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยยังถูก แต่นักลงทุนก็ยังไม่พร้อมเข้ามาลงทุน
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินสายโรดโชว์ต่อเนื่องเพื่อวางรากฐานนักลงทุนต่างประเทศเอาไว้ เมื่อโอกาสในตลาดหุ้นไทยมากกว่านี้จะทำให้บริษัทมีฐานลูกค้าที่เข้มแข็งได้เร็ว โดยล่าสุดบริษัทเตรียมจะไปโรดโชว์อีกครั้งที่ยุโรปในช่วงเดือน มี.ค. โดยจะเน้นกลุ่ม Value Fund
ในด้านธุรกิจวาณิชธนกิจ(Investment Banking:IB)นั้น บริษัทตั้งเป้าหมายว่าในปี 52 รายได้ IB น่าจะปรับตัวดีขึ้นราว 10% จากปี 51 ที่มีรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจ IB ที่ประมาณ 78.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 61.4% จากปี 50 โดยบริษัทจะให้ความสำคัญกับงานเป็นที่ปรึกษาและผู้จัดการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งในปีนี้มีลูกค้าอยู่ในมือแล้ว 2 ดีล
นายไพบูลย์ กล่าวว่า บล.ทิสโก้ มองว่าแนวโน้มการเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทต่าง ๆ ในปีนี้จะมีออกมาต่อเนื่อง โดยเห็นสัญญาณนี้มาตั้งแต่ไตรมาส 4/51 เนื่องจากบริษัทเอกชนเป็นห่วงสภาพคล่อง ประกอบกับ ไม่มั่นใจกับการระดมทุนผ่านตลาดหุ้น และไม่สามารถไประดมเงินทุนจากต่างประเทศได้
ขณะที่ด้าน M&A ในปีนี้มีลูกค้าอยู่ในมือแล้วรวม 8 ดีล แบ่งเป็นธุรกิจในเวียดนาม 4 ดีลและในไทย 4 ดีล ซึ่งในปีนี้คงเห็นอย่างน้อย 2-3 ดีลในประเทศ ขนาดรายละ 2-3 พันล้านบาท แต่ในส่วนการเสนอขายหุ้น IPO คงจะมีน้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ถึงแม้ปัจจุบันจะอยู่ในมือแล้ว 4 ดีล แต่คงจะเห็นเพียง 1 ดีลเท่านั้นในครึ่งปีหลัง คือ บริษัท โตโยต้า ไทยแลนด์ เอ็นจิเนียริ่ง มูลค่าประมาณ 500- 1,000 ล้านบาท
"ในปีนี้เราคงก้าวแบบระมัดระวัง ภายใต้ภาวะสถานการณ์ที่ไม่เอื้อทั้งในและต่างประเทศ และเราก็จะปรับกลยุทธ์ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารายย่อยมากขึ้น และด้าน IB โดยเฉพาะหุ้นกู้และ M&A ที่ยังไปได้ เพื่อรอ IPO กลับมาฟื้น...IPO ตอนนี้สนใจในการเข้าเป็นที่ปรึกษา IPO บริษัทคนไทยที่ทำธุรกิจที่ลาวด้วย"นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวในท้ายที่สุดว่าช่วง 1-2 เดือนนี้คงยังไม่เห็นเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงจะต้องรอความชัดเจนและการสร้างความเชื่อมั่นจากภาครัฐมากขึ้นกว่าปัจจุบัน นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยัง Underweight ประเทศไทยอยู่ และมองว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวแตะจุดต่ำสุดที่ 380 จุดได้ แต่ทั้งปี 52 คาดว่าดัชนีมีโอกาสขึ้นไปแตะระดับ 518 จุด