แหล่งข่าว บมจ. กันยงอิเลคทริค (KYE) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯ คงจะใช้เงินลงทุนในระดับปกติคือหลักร้อยล้านบาท เป็นการลงทุนเกี่ยวกับแม่พิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุกปี เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้
"ปีนี้เราก็คงลงทุนตามปกติ ลงทุนในเรื่องของแม่พิมพ์เวลามีการเปลี่ยนรุ่นเปลี่ยน เงินลงทุนอยู่ในหลักร้อยล้านต่อปี ซึ่งเป็นงาน Routine อยู่แล้ว พัฒนาเพื่อให้ตรงความต้องการของตลาด ถ้าไม่เปลี่ยนไม่พัฒนาเดี๋ยวขายไม่ได้"แหล่งข่าว กล่าว
ปัจจุบัน KYE เป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ภายใต้ยี่ห้อ "Mitsubishi" 3 ประเภท ได้แก่ พัดลม ตู้เย็น และเครื่องปั๊มน้ำ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์กรณีต่างประเทศ บริษัทฯเป็นผู้ดำเนินการเอง ส่วนการจำหน่ายภายในประเทศมีบริษัท มิตซูบิชิกันยงวัฒนา จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยปัจจุบันสินค้าประเภทตู้เย็นเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดในบริษัท
ส่วนสินค้าในหมวดภาพและเสียง (AV) เลิกทำมานานเกิน 10 ปีแล้ว เนื่องจากสินค้าประเภทนี้ตายเร็ว สังเกตจากเมื่อก่อนโทรทัศน์เป็นจอนูน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นจอ LCD ตอนนี้จอ LCD ก็เริ่มจะหมดความนิยมแล้ว
"คิดดูง่ายๆ เมื่อก่อนโทรทัศน์จอ LCD เริ่มขายยาก จากเดิมที่เมื่อก่อนราคาขายเป็นหลักแสน เดี๋ยวนี้เหลือแค่หลักหมื่น อนาคตจะเป็นหลักพันหรือเปล่าก็ไม่รู่ ถึงบอกว่าสินค้ากลุ่มนี้มันตายเร็ว"แหล่งข่าว กล่าว
สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกซึ่งส่งผลไปถึงภาคการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงผู้บริโภคกำลังซื้อถดถอยนั้น ตอนนี้ยังบอกได้ค่อนข้างยากว่ากระทบมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากเรามีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 2-3 เดือน ตอนนี้ก็ยังคงทำงานตามที่ได้ตกลงทำสัญญา แต่อนาคตยังไม่รู้ ก็ยังตอบไม่ได้ เพราะเรายังดำเนินการตามคำสั่งซื้ออยู่
"เรายังบอกไม่ได้ว่าได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกมากน้อยแค่ไหน เพราะตอนนี้ก็ยังทำตามคำสั่งซื้ออยู่ แต่ถ้าดูจากกำลังผลิตในส่วนของสินค้าที่ขายดีที่สุดของเรา คือ ตู้เย็น จากที่เคยใช้กำลังผลิตเต็มที่ 7-8 แสนเครื่อง/ปี ปัจจุบันเหลือเพียง 6 แสนเครื่องต่อปี"แหล่งข่าว กล่าว
*อุบเงียบงบปี 51 (สิ้นสุด 31/03/52) แต่คงนโยบายจ่ายปันผล 50% ของกำไรสุทธิ
แหล่งข่าว กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการปี 51 (31/03/52) ได้ เนื่องจากยังไม่ได้สรุป เพราะว่าเพิ่งผ่านมา 9 เดือน
"คงบอกไม่ได้ เพราะยังไม่สรุป เร็ว ๆ นี้ก็จะประกาศแล้ว ต้องอดทนรอ"แหล่งข่าว กล่าว
งวด 6 เดือน (สิ้นสุดก.ย.51) KYE มีกำไร 301.73 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนกำไร 46.72 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นประมาณร้อยละ 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล
เมื่อวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2551 KYE จ่ายเงินปันผลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2550 (เมษายน 2550 - มีนาคม 2551) KYE ในอัตราหุ้นละ 1.60 บาท
นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังยอมรับเรื่องหุ้น KYE ไม่มีสภาพคล่อง แต่บริษัทยังไม่มีแผนต้องซื้อหุ้นคืน
*แจงปรับโครงสร้างกำหนดราคาสินค้าเพื่อลด Conflict ภายในกลุ่ม
แหล่งข่าว กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างคณะอนุกรรมการกำหนดราคาสินค้าใหม่ ระหว่างบริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด (MKY) กับบริษัทฯ เป็นการหากรรมการเข้ามาตรวจสอบเรื่องราคาที่มีการซื้อขายระหว่างกันเพื่อขจัดปัญหาเรื่อง Conflict of Interrest และให้โปร่งใสมากขึ้น
"เราเป็นผู้นำร่องเรื่องการกำหนดราคา เพื่อให้ราคาเป็นธรรมมากขึ้น ยุติธรรมมากขึ้น โปร่งใสมากขึ้น เพราะของเรามีการซื้อขายกันระหว่างในกลุ่ม คนข้างนอกก็ต้องมองว่าการกำหนดราคาขายกันโปร่งใสหรือเปล่า ฮั้วกันหรือเปล่า เราจึงต้องประกาศว่ามีการทำตรงนี้ชัดเจนเพราะเป็น Know How มิตซูบิชิ"แหล่งข่าว กล่าว
ส่วนรายการเกี่ยงโยงเรื่องเงินกู้ยืมระยะสั้นและเงินให้กู้ยืมจาก บริษัท เมลโค ไทย แคปปิตอล จำกัด (MTC) นั้น รวมเท่ากับ 68,500,000 บาท แบ่งเป็น จำนวนเงินกู้ 100 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยถัวเฉลี่ย 2.2% ต่อปี คิดเป็นดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 2,200,000 บาท และจำนวนเงินให้กู้ 65 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยถัวเฉลี่ย 2.0% ต่อปี ซึ่งจำนวนเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยรับจะเท่ากับ 66,300,000 บาท วันเดือนปีที่เกิดรายการ 1 เมษายน 2552 - 31 มีนาคม 2553
"Case นี้เราขอทุกปีเพราะว่าเป็น Routine ที่เราต้องขอ แต่ก่อนเราไม่ได้ขอและทางตลาดหลักทรัพย์ฯบอกว่า เนื่องจาก MTC เป็นบริษัทในกลุ่มของเราที่ทำเกี่ยวกับการจัดการเงินในระบบ ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์อาจจะมีความเสี่ยง ก็เลยต้องทำตรงนี้ตามหลักรายการเกี่ยวโยง....เป็นลักษณะของระบบ Pooling บริษัทในกลุ่ม เงินให้กู้หมายถึง ใครมีเงินเท่าไหร่ก็เอามารวมกันไว้กองกลาง ถ้าใครเดือดร้อนต้องการใช้เงินก็จะเอาตรงนี้มาให้กู้ และคิดอัตราดอกเบี้ยที่แคบกว่าธนาคารพาณิชย์ ถ้าเรากู้ก็จะเป็น loan ของเรา แต่ถ้าเราให้เขาไปบริหารก็ถือเป็นการให้กู้"แหล่งข่าว กล่าวเสริมตอนท้าย