(เพิ่มเติม) TOP คาดปี 52 กำไรสุทธิ-ยอดขายสูงกว่าปี 51 มั่นใจไม่มีขาดทุนสต็อกน้ำมัน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 13, 2009 14:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการอำนวยการ บมจ.ไทยออยล์(TOP)กล่าวว่า ในปี 52 บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการจะเป็นกำไรสุทธิ เนื่องจากประเมินว่าราคาน้ำมันไม่น่าจะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงเหมือนช่วงไตรมาส 4/51 และเริ่มต้นปีบริษัทมีต้นทุนน้ำมันที่ 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งถือว่าต่ำมาก จึงไม่น่าจะเกิดขาดทุนสต็อกน้ำมันในปีนี้ และในไตรมาส 1/52 จะไม่มีผลขาดทุนสต็อกน้ำมันเหมือนกับที่เกิดขึ้นในไตรมาส 4/51 แล้ว

ในปีนี้คาดว่าสถานการณ์ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง แต่เชื่อว่ากลุ่มโอเปคจะปรับลดกำลังผลิตลง 1 ล้านบาร์เรลในเดือน มี.ค. ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตน้ำมันในตลาดโลกเริ่มตึงตัวในช่วงครึ่งปีหลัง และส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นกว่าครึ่งปีแรกที่ประมาณการว่าจะอยู่ในระดับ 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ด้านค่าการกลั่นปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงปีก่อนที่ 7.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อมาร์จิ้นการกลั่น เนื่องจากต้นทุนไทยออยล์อยู่ในระดับต่ำที่ 90 เซนต์/บาร์เรล

ขณะที่ยอดขายหรือรายได้จากการขายปี 52 ก็มั่นใจจะสูงจากปีก่อนที่มียอดขาย 3.99 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมุ่งเน้นการขายในประเทศ ซึ่งได้ราคาสูงกว่าส่งออก ประกอบกับ บริษัทยังเดินกำลังการกลั่นเต็มที่

"ไตรมาส 1 ก็มั่นใจผลประกอบการของบริษัทจะออกมาดีและมีกำไร แม้ว่าไตรมาส 4 ปีที่แล้วจะขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ แต่ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก เพราะปีนี้นักวิเคราะห์ประเมินว่าครึ่งปีแรกราคาน้ำมันจะไม่ต่ำกว่า 40-50 เหรียญฯต่อบาร์เรล แต่เรามีต้นทุนแค่ 40 เหรียญฯ" นายวิโรจน์ กล่าว

อนึ่ง ในไตรมาส 4/51 TOP ขาดทุน 8,394 ล้านบาท จากผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน 1.7 หมื่นล้านบาท และ ในปี 51 กำไรสุทธิ 223.57 ล้านบาท ลดลงจากปี 50 ที่มีกำไรสุทธิสูงถึง 19,117.56 ล้านบาท

สำหรับปี 52 บริษัทตัดสินใจที่จะชะลอแผนการลงทุนขนาดใหญ่ออกไปทั้งหมด โดยเฉพาะโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน เหลือเพียงโครงการขนาดเล็ก 1-2 โครงการที่ใช้เงินลงทุนประมาณโครงการละ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือรวมกันราว 60 ล้านเหรียญสหรัฐ

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า บริษัทได้ชะลอแผนการลงทุนปรับปรุงคุณภาพน้ำมันที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐออกไปจากเดิมที่กำหนดไว้ในปีนี้ โดยอยู่ระหว่างทบทวนมูลค่าการลงทุนและความจำเป็น แม้ว่าการลงทุนในขณะนี้อาจทำให้ใช้เงินลงทุนลดลงอย่างน้อย 30-40% แต่บริษัทต้องจัดการสภาพคล่องให้ดีก่อนที่จะมีการลงทุนสูงขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าจะสามารถหยิบยกโครงการดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 52 ว่ามีความพร้อมที่จะดำเนินการหรือไม่

ส่วนในปีนี้จะเหลือแต่การลงทุนในโครงการขนาดเล็ก มูลค่าการลงทุนประมาณ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ คือ โครงการ TDAE โครงการปรับปรุงคุณภาพโทลูอีนเป็นพาราไซลีน ส่วนโครงการยูโร 4 ในส่วนของเบนซีน บริษัทมีความพร้อมที่จะลงทุนแต่ขอรอดูสถานการณ์ก่อน

นายวิโรจน์ กล่าวว่า บริษัทยังไม่มีแผนออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอีกในปีนี้ แม้ว่าล่าสุดวานนี้คณะกรรมการบริษัทจะได้อนุมัติวงเงินสำหรับออกหุ้นกู้ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากบริษัทเพิ่งออกหุ้นกู้จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาทที่เปิดขายช่วงวันที่ 10-12 ก.พ.ถือว่าเป็นยอดจองที่สูงจากเดิมที่จะเสนอขายจำนวน 5 พันล้านบาท เพราะนักลงทุนต้องการซื้อสูงถึง 2 เท่า ทำให้บริษัทมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น

และการออกหุ้นกู้ไม่ได้ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เพิ่มขึ้น เพราะบางส่วนนำรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ชุดเดิม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ