นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายบริหารและการเงิน บมจ.โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา(CENTEL)เปิดเผยว่า บริษัทสนใจที่จะเสนอตัวรับบริหารกิจการโรงแรมของผู้ประกอบการรายอื่นที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมาก นอกเหนือที่บริษัทได้เจรจารับบริหารกิจการโรงแรมของกลุ่มเลห์แมน บราเธอร์ส
"เราอยากเสนอตัวเข้าไปช่วยรับบริหารให้ใครก็ได้เพื่อพลิกฟื้นให้กิจการดีขึ้น ทั้งการบริหารการตลาด การจัดการ เจรจากับสถาบันการเงิน การเจรจาก็มีทั้งกับสถาบันการเงินที่มีโรงแรมที่มีปัญหาปล่อยกู้ไปแล้วไม่สามารถจ่ายคืนได้ รวมทั้งเจ้าของกิจการโรงแรมโดยตรง ซึ่งก็มีเข้ามาคุยเรื่อย ๆ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจกำลังดูอยู่ว่ามีเข้ามากี่ดีล ดีลไหนมีแนวโน้มเป็นไปได้ เท่าที่ดูก็มีทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด"นายรณชิต กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ส่วนความคืบหน้าเรื่องการเจรจากับโรงแรมของกลุ่มเลห์แมน บราเธอร์สที่ เกาะสมุย จ.สุราษฎรธานีนั้น ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจา ฝ่ายพัฒนาธุรกิจก็พยายามจะสรุปให้ได้ภายในไตรมาส 2/52 โดยคาดว่าอาจจะเข้ามร่วมทุนด้วยส่วนหนึ่ง
"การเจรจาก็มีโต้ตอบไปมา แต่มันยังไม่มีพัฒนาการที่เป็นสาระสำคัญ ก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็คงต้องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อขอมติว่าจะให้ไปบริหารหรือไม่ แต่ไม่ต้องขอมติผู้ถือหุ้นเพราะแค่บริหารไม่ได้ลงทุน อาจจะมีลงทุนนิดหน่อยไม่น่าจะเยอะ คงเป็นการเข้าร่วมทุนมากกว่าเทคโอเวอร์ จะถือหุ้นในสัดส่วนเท่าไหร่ก็ได้ แต่เราก็กำลังคุยว่าเราอยากบริหารด้วย ถ้าให้คาดเดาก็คิดว่าในไตรมาส 2 นี้น่าจะได้ข้อยุติ"นายรณชิต กล่าว
บริษัทตั้งเป้าไว้ว่าปี 52 จะสามารถเข้ารับบริหารโรงแรมเพิ่มอีกอย่างน้อย 4 แห่ง จากปัจจุบันที่รับบริหารอยู่ 3 แห่ง ซึ่งรวมถึงการเข้ารับบริหารโรงแรมที่อินเดียซึ่งได้มีการเซ็น MOU ไปแล้ว คาดว่าจะเข้าบริหารได้ในปีนี้เช่นกัน และจะเริ่มรับรู้รายได้จากการบริหารจัดการเข้ามาในปีนี้เลย
*ศก.โลก-ปิดสนามบินปลายปี 51 กระเทือน Occupency Rate ไตรมาส 1 ปี 52
นายรณชิต กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ในปี 52 ไว้ที่ 9 พันล้านบาท อาจจะต้องรอให้จบไตรมาส 2 ก่อนจึงจะเห็นภาพชัดเจนว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกมีผลกระทบอย่างไร แต่เท่าที่เห็นในเบื้องต้นขณะนี้อัตราการเข้าพักโรงแรมของเครือก็ลดลงต่อเนื่องจากปลายปีก่อน
"เป้า 9 พันล้าน ก็ต้องดูว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกเป็นยังไง ตอนนี้ยังต้นปีอยู่ คงจะประเมินได้ไม่ชัด อาจจะต้องรอสิ้นไตรมาส 2 คงจะเห็นแล้วว่า ปีนี้ทั้งปีน่าจะจบเท่าไหร่"นายรณชิต กล่าว
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปี 52 ไม่น่าจะคึกคักเท่าปี 51 เพราะวิกฤตเศรษฐกิจ ตลอดจนเหตุการณ์ปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิมาเกิดในช่วงปลายปีก่อน แต่ช่วงครึ่งปีแรกของปี 51 ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการเข้าพัก (Occupency Rate)ในไตรมาส 1/52 ลดลงมาอยู่ที่ 60-70% จาก 80% ในช่วงไตรมาส 1/51 เชื่อว่าทั้งตลาดก็คงประสบปัญหาคล้ายๆ กัน
สำหรับกรณีที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติงบประมาณ 1 พันล้านบาท เพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ออกโฆษณาประชามสัมพันธ์กระตุ้นให้คนไทยหันกลับมาเที่ยวในประเทศมากขึ้น ตลอดจนการประชุมระดับโลกที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ น่าจะช่วยผลักดันและกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวให้ฟื้นขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง แต่จะให้กลับมาคึกคักเหมือนเดิมคงต้องใช้เวลาพอสมควร
"เรื่องพวกนี้ภาคเอกชนรู้ดี และก็ให้ความร่วมมือกับภาครัฐอยู่แล้ว อย่างช่วงที่นายกรัฐมนตรีไปญี่ปุ่น เราก็มีผู้บริหารของเราคือคุณสุพัตรา จิราธิวัฒน์ ซึ่งได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการบริหารของ ททท. ก็ร่วมเดินทางไปกับคณะด้วย ถือเป็นการโปรโมทไปในตัว ทำให้ได้รับความเชื่อมั่นในระดับหนึ่ง" นายรณชิต กล่าว
*เน้นรักษาเสถียรภาพทางการเงินในยุคเศรษฐกิจตกสะเก็ด
นายรณชิต กล่าวว่า กลยุทธทางธุรกิจของเครือ CENTEL ปีนี้จะเน้นลงทุนส่วนงานที่จำเป็นจริง ๆ และคงใช้เม็ดเงินไม่มากนัก โดยเฉพาะในการเข้ารับบริหารกิจการของผู้ประกอบการโรงแรมอื่น เนื่องจากมองว่าการขยายธุรกิจควรจะควบคู่ไปกับการรักษาสภาพคล่อง ฐานะทางการเงิน อีกทั้งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้จะทำอะไรต้องระมัดระวังอย่างมาก
ดังนั้น ปีนี้บริษัทจะให้น้ำหนักกับการรักษาเสถียรภาพความมั่นคงประมาณ 50-60% ส่วนการตัดทอนค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน จะให้น้ำหนักประมาณ 30% ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นเรื่องของแผนการเจริญเติบโตทางธุรกิจ
"ปีนี้เราเน้นเรื่องการรักษาสภาพคล่องมากกว่า เพราะเรื่องเศรษฐกิจโลกกับการเมืองไทยกระทบต่อแผนธุรกิจเรื่องการเติบโต แผนการรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางการเงิน แต่ขณะเดียวกันเรื่องการเจริญเติบโตก็ยังให้ความสำคัญอยู่ประมาณ 10%"นายรณชิต กล่าว
นายรณชิต กล่าวว่า บริษัทยังคงแผนที่จะเปิดตัวโรงแรมใหม่แน่นอน 2 แห่ง คือ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช พัทยา ขนาด 555 ห้อง มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท ในช่วงเดือน ก.ย.52 และ อีกแห่งคือโครงการโรงแรมที่มัลดีฟ ที่บริษัทไปร่วมทุน 25% มูลค่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็นเงินทุนของบริษัทเอง 18 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเป็นเงินกู้ 12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คาดว่าจะเปิดประมาณเดือน ก.ย.52 เช่นกัน
*เล็งขยายกองทุน CTARAF ใกล้เคียง 4 พันลบ.ในสิ้นปี 52
นายรณชิต เปิดเผยว่า กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา(CTARAF)ว่า ขอรอดูเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังก่อน เพราะครึ่งปีแรกตลาดไม่เอื้ออำนวย ซึ่งหากภาวะรอบด้านเหมาะสมสิ้นปี 52 น่าจะเพิ่มขนาดกองทุนเป็น 4 พันล้านบาทได้ จาก 3.2 พันล้านบาท ส่วนเป้าที่จะขยายขนาดกองทุนเป็น 1 หมื่นล้านบาทในปี 54-55 นั้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
"ผมว่าครึ่งปีแรกนี่ ใครออกกองทุนพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์หรือขยายกองทุนตอนนี้อาจจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม อาจจะต้องดูเลยครึ่งปีหลังไปแล้ว แต่เราก็ศึกษาไปเรื่อยๆ และพอจังหวะตลาดเอื้ออำนวยก็ค่อยเสนอ ถ้าโชคเข้าข้างเรา เศรษฐกิจโลกค่อยๆ ฟื้น คาดว่าสิ้นปี 52 อาจจะขยายขนาดกองทุนได้ใกล้เคียง 4 พันล้านบาทได้ ส่วนเป้ากองทุนขนาด 1 หมื่นล้านในปี 54-55 ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง"นายรณชิต กล่าว