CK เป้าปี 52 รายได้ 1.5 หมื่นลบ.งานใหม่ 2.5 หมื่นลบ./พุ่งเป้าเวียดนาม

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 20, 2009 16:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ช.การช่าง(CK)ตั้งเป้าปี 52 มีงานใหม่กว่า 2 หมื่นล้านบาทขึ้นไป ส่งให้งานในมือ(backlog)เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 51 ที่มีอยู่ประมาณ 1.3-1.4 หมื่นล้านบาท และคาดว่ารายได้ปีนี้เติบโตมาเป็น 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท จากปี 51 ที่มีรายได้ราว 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท มาจากทั้งงานในมือและงานใหม่ โดยเฉพาะงานประมูลโครงการรถไฟฟ้าที่บริษัทเข้าร่วมลุ้นด้วยทุกสาย เชื่อมั่นชนะประมุลราว 30% ของมูลค่าโครงการรถไฟฟ้าทุกเส้นทาง

ส่วนงานต่างประเทศ บริษัทพร้อมขยับรับงานในเวียดนามเพิ่มขึ้นในปี 53 มองอนาคตงานด้านสาธาณูปโภคจะมากขึ้น และงานก่อสร้างที่รองรับการขยายธุรกิจของบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) ขณะเดียวกัน บริษัทยังมองงหาพันธมิตรร่วมทุนทำโครงการเขื่อนและโรงไฟฟ้าไซยะบุรีในประเทศลาว ทั้งหมดนี้จะช่วยผลักดันให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีต่อๆไป

นายประเสริฐ มริตตนะพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มบริหาร CK เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในปี 52 ถือเป็นปีของผู้รับเหมาก่อสร้าง เพราะรัฐบาลมีงบประมาณให้กับหน่วยงานต่างๆ รวมถึงงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า รวมมุลค่า 2 แสนกว่าล้านบาท รวมทั้งยังมีงานของกรุงเทพมหานคร(กทม.)ซึ่งรวมถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้ง 2 เส้นทางที่คาดว่าจะเปิดประมูลในปีนี้ด้วย ทำให้บริษัทมีโอกาสได้งานมากขึ้น

บริษัทมีแผนเข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าทุกสาย และคาดว่าสายสีน้ำเงินช่วงบางซื่อ-ท่าพระ หัวลำโพง-บางแค ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายเส้นทางปัจจุบัน แม้ว่าจะล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้กลางปีนี้ แต่คิดว่าภาครัฐจะเปิดประมูลภายในปีนี้ ส่วนรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต)บริษัทต้องพิจารณารายละเอียดทีโออาร์ว่าต้องให้ผู้รับเหมาเป็นผู้เวนคืนที่ดินหรือไม่ หากไม่มีก็จะเข้าประมูลด้วย เพราะเกรงจะเหมือนรถไฟฟ้าสายสีแดง(บางซื่อ-ตลิ่งชัน)

ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทาง กทม.ขอรัฐบาลนำกลับมาสานงานต่อแทน รฟม.โดยมี 2 เส้นทางส่วนต่อขยาย ได้แก่ ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ รวมมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท

นายประเสริฐ คาดว่าบริษัทจะได้งานก่อสร้างรถไฟฟ้าราว 30% ของมูลค่างานที่เปิดประมูลทั้งหมด เพราะบริษัทมีขนาดใหญ่พอรับงานได้อย่างไม่มีปัญหา ก็จะทำให้งานในมือของบริษัทขยายเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อผลประกอบการในปีถัดไป พร้อมคาดว่าสิ้นปี 52 backlog จะมีไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท

"เชื่อมั่นรัฐบาลจะมีงานประมูลโครงการเมกะโปรเจ็คต์ตลอดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ...รายได้ปี 52 ของเราจะปรับขึ้นจากปีที่แล้วที่ทำได้ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท ให้ได้เท่าหรือมากกว่าปี 50 ที่มีประมาณ 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท ในปี 53 เชื่อว่าราจะค่อยๆก้าวกระโดด" นายประเสริฐ กล่าว

อนึ่ง ในงวด 9 เดือน ปี 51 บริษัทมีรายได้ 1.06 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 546.61 ล้านบาท ส่วนปี 50 รายได้ 1.49 หมื่นล้านบาท แต่มีกำไรสุทธิเพียง 14.54 ล้านบาท

ในปี 51 บริษัทมีงานใหม่เข้ามาประมาณ 3 พันล้านบาท เพราะไม่มีงานประมูลภาครัฐ ประกอบกับ บริษัทเลือกรับงานที่มีมาร์จิ้นหรือกำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 10% ขณะเดียวกันราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวขึ้นไปสูง ทำให้งานในมือสิ้นปี 51 มีอยู่จำนวน 1.3-1.4 พันล้านบาท โดยสัดส่วน 70% เป็นงานสร้างโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำงึม 2 จำนวน 2.2 หมื่นล้านบาท ที่เหลือ 30% เป็นงานในประเทศ

ส่วนปี 52 คาดว่าจะงานใหม่จะทยอยเข้ามาโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/52 เตรียมเซ็นสัญญางานทางลอดจรัลสนิทวงศ์ มูลค่าราว 1 พันล้านบาท ขณะที่งานโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 1 คาดว่าเจรจากับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)จะจบภายใน มี.ค.หรืออย่างช้าใน เม.ย.โดยบริษัทร่วมทุน CKTC เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดที่วงเงิน 16,724 ล้านบาท

ขณะที่งานโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก(SPP)มูลค่างานราว 5 พันล้านบาทนั้น ได้เลื่อนการเซ็นสัญญาก่อสร้างออกไปเป็นราวไตรมาส 3/52 หลังจากเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)โดยก่อนหน้านี้จะเซ็นสัญญาในไตรมาส 4/51

อย่างไรก็ดี บริษัทยังกังวลปัญหาการเมือง หากไม่นิ่งหรือมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอีกจะส่งผลให้โครงการเมกะโปรเจ็คต์ต้องชะลออกไป

"ปีนี้เราจะเน้นงานในประเทศ และเน้นงานที่มีมาร์จิ้นไม่ต่ำกว่า 10% เพราะปีที่แล้วถึงเราได้งานมาได้ไม่เยอะ แต่มาร์จิ้นเราดี และปีนี้มีงานใหม่ ราคาใหม่ มาร์จิ้นก็ย่อมดีกว่าเดิม ราคาวัสดุก่อสร้างก็คิดว่าไม่น่าจะปรับตัวขึ้น" นายประเสริฐ กล่าว

*คาดงานเขื่อนไซยะบุรี-น้ำบากเได้เซ็นปลายปี 53-ต้นปี 54

รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มบริหาร CK คาดว่า ในช่วงปลายปี 53 หรือต้นปี 54 บริษัทจะศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีในลาวแล้วเสร็จ มูลค่าโครงการ 9 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและงานก่อสร้างในช่วงเดียวกัน โดยใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 7 ปี

ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำบาก 1-2 มูลค่าโครงการ 1.6 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะได้ผลการศึกษ และเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับสัญญางานก่อสร้างในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 2-3 ปี

อย่างไรก็ดี เนื่องจากโครงการไซยะบุรีเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,260 เมกะวัตต์ จึงจำเป็นต้องหาผุ้ร่วมทุนรายอื่นเข้ามา บริษัทจะจัดตั้งบริษัทย่อย ซึ่ง CK จะถือหุ้นไม่เกิน 30% ส่วนที่เหลือจะเป็นผู้ร่วมทุนต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้มีการเจรจาหลายรายทั้งญี่ปุ่นและยุโรป

เบื้องต้นคาดว่าโครงการไซยะบุรีจะใช้เงินทุนจากส่วนทุน 1 เท่า หรือคิดเป็นเงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาทขึ้นไป และจากส่วนของหนี้ 2.5 เท่าหรือ 3 เท่า

ส่วนโครงการน้ำบาก 1-2 ดำเนินงานภายใต้บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด(SEAN) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่ดำเนินกิจการในประเทศลาว โดย CK ถืออยู่ 38% , โครงการน้ำงึม 2 ภายใต้การบริหารงานของ SEAN ก็จะก่อสร้างเสร็จภายในปี 53 และเริ่มมีรายได้จากการรับสัมปทานขายไฟฟ้าในปี 54 โดยคาดว่าจะมีรายได้เฉลี่ย 4 พันล้านบาทตลออายุสัมปทาน 25 ปี

นายประเสริฐ กล่าวว่า SEAN อยู่ระหว่างจัดโครงสร้างผู้ถือหุ้นและศึกษาตลาดอยู่ แต่มองว่าจังหวะการนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ไทยในปี 52 ยังไม่เหมาะสม

"เราสนใจเข้าตลาดหลักทรัพย์ไทย และกำลังศึกษาอยู่ ซึ่งเราก็พยายามทำให้เร็วที่สุด แต่มองวังหวะเข้าตลาดปีนี้ยังไม่ดี"นายประเสริฐ กล่าว

สำหรับด้านความพร้อมด้านเงินทุนของบริษัทในการรองรับโครงการในอนาคต นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีสภาพคล่องเพียงพอ หลังจากที่ได้รับเงินจากการออกหุ้นกู้จำนวน 2.5 พันล้านบาทเมื่อต้น ก.พ.ที่ผ่านมา แต่หากไม่พอก็ยังมีวงเงินหุ้นกู้ที่จะออกได้อีก 1 พันล้านบาท แต่ขณะนี้ยังไม่มีแผนเพิ่มทุน

*เล็งรุกรับงานในเวียดนามปี 53

นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมองว่าตลาดต่างประเทศนอกเหนือจากลาว จากการเข้าไปศึกษาแล้วเห็นว่าเวียดนามมีศักยภาพที่ดี แนวโน้มรัฐบาลจะมีงานก่อสร้างสาธารณูปโภคค่อนข้างมาก เช่น งานสร้งถนน ทางด่วน ซึ่งเป็นงานที่บริษัทมีความถนัดอยู่แล้ว

ที่ผ่านมาบริษัทได้งานก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซิเมนต์ในเวียดนามของ SCC และคาดว่าจะรับงานต่อเนื่องจาก SCC ที่มีโครงการจะก่อสร้างโรงงานผลิตกระดาษ โรงงานผลิตปิโตรเคมี

ส่วนงานในอินเดีย บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาอยู่ และพบว่ามีคู่แข่งมาก ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะเข้าไปรับงาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ