ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (20 ก.พ.) เนื่องจากความวิตกังวลเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคการธนาคารของสหรัฐและภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งอาจจะทำให้ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐบางแห่ง อาทิ ซิตี้กรุ๊ป และแบงค์ ออฟ อเมริกา อาจจะถูกยึดกิจการเป็นของรัฐ ส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีมุมมองที่เป็นลบเกี่ยวกับการเข้ามาแก้ปัญหาของรัฐบาลสหรัฐว่ายังไม่สามารถยุติวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นได้โดยสิ้นเชิง และไม่แน่ใจว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะดำดิ่งลงไปอีกเท่าไร แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศมาตรการฟื้นเศรษฐกิจออกมาแล้วก็ตาม
เมื่อวานนี้ นายคริสโตเฟอร์ ด็อด ประธานคณะกรรมการกิจการธนาคารของวุฒิสภาสหรัฐกล่าวว่า อาจจะมีความจำเป็นต้องยึดกิจการของธนาคารบางแห่งในเร็วๆนี้ ขณะที่คณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ ไม่ได้ออกมาแสดงควมคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว
ทางด้านสก็อต ซิลเวสตรี โฆษกของแบงค์ ออฟ อเมริกา กล่าวว่า ธนาคารยังมองไม่เห็นถึงเหตุผลที่จะต้องมีการยึดกิจการของธนาคารที่ยังสามารถทำกำไร มีการบริหารเงินทุนที่ดี และปล่อยกู้อย่างสม่ำเสมอ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วง 100.28 จุด หรือ 1.3% แตะที่ 7,365.67 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 8.89 จุด หรือ 1.14% แตะที่ 770.05 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 1.59 จุด หรือ 0.11% แตะที่ 1,441.23 จุด
ปริมาณหุ้นลบมีมากกว่าหุ้นประมาณ 3 ต่อ 1 ส่วนมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 2.12 พันล้านหุ้น
ลอว์เรนซ์ เครียทูร่า ผู้จัดการการลงทุนของเฟดเดอเรทเต็ด โคลเวอร์ อินเวสเมนท์ แอ็ดไวเซอร์ส กล่าวว่า หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์กำลังร่วงลงอย่างหนัก ข่าวเรื่องการยึดกิจการแบงค์มีแต่จะตอกย้ำให้เห็นถึงปัญหาต่างๆในระบบเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างเป็นระบบหากว่าแบงค์ต่างๆไม่สามารถปล่อยกู้ได้ในระดับที่เหมาะสมกว่าเดิม
หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ร่วงลงเพราะควมวิตกกังวลเกี่ยวกับว่ารัฐบาลอาจจะเข้ามาควบคุมกิจการของธนาคาร โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ ร่วง 22% ส่วนหุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ตกลง 3.6%