TUF เผยปี 52 เดินหน้าขยายตลาดส่งออกไปยัง รัสเซีย และต.อ.กลาง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 23, 2009 10:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) กล่าวถึงแนวโน้มการดำเนินงานในปี 2552 ว่า บริษัทยังคงมองภาพของธุรกิจในเชิงบวกสำหรับปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาปลาทูน่า คาดว่า จะมีความผันผวนไม่สูงมากนักในปีนี้

ส่วนค่าเงินบาท ขณะนี้ก็อ่อนค่าลงไปมาก ซึ่งก็เป็นผลดีกับบริษัท และสำหรับวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นปัจจุบัน ตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกาคงต้องได้รับผลกระทบบ้างแต่คงไม่มากนัก เพราะธุรกิจของเราเป็นธุรกิจอาหาร ซึ่งอาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานในการบริโภค และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ สินค้าของเรามีราคาไม่แพง

ทั้ง บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลอดเวลา มีการขยายตลาดและหาช่องทางการส่งออกไปยังตลาดใหม่ให้มากขึ้น อาทิเช่น รัสเซีย และตะวันออกกลาง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาฐานตลาดเดิมเอาไว้ ตลาดญี่ปุ่นก็เป็นตลาดหนึ่งที่ปีนี้น่าจะมีทิศทางที่สดใสสำหรับการออกสินค้าปลาทูน่า เนื่องจากการเจรจากรอบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ที่จะให้สิทธิประโยชน์กับประเทศไทยในการเปิดตลาดปลาทูน่าให้มากขึ้น รวมถึงผลประโยชน์จากค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น และการที่จีนมีปัญหาเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัยของอาหาร ทำให้ญี่ปุ่นหันมานำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นแทน สำหรับในตลาดญี่ปุ่นนั้นบริษัทจะเน้นสินค้ามูลค่าเพิ่มให้มากขึ้น

ส่วนในเรื่องของสถานภาพทางการเงิน บริษัทยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และมีเงินหมุนเวียนสำหรับขยายการลงทุน โดยล่าสุดบริษัทเพิ่งออกหุ้นกู้อายุ 2 ปี และหุ้นกู้อายุ 5 ปี มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในการเสนอขาย ซึ่งจุดนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบัน และสถาบันการเงินต่างๆ ที่มีต่อธุรกิจของบริษัท

อย่างไรก็ดี บริษัทมั่นใจว่า บริษัทยังมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างอัตราผลตอบแทนให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจากผลประกอบการที่ออกมานี้ น่าจะส่งผลดีต่อการจ่ายปันผลของบริษัทในงวดแรกของปีนี้

สำหรับเป้าหมายต่อไปของบริษัท คือ การทำยอดขายที่ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในอีก 4 ปีข้างหน้า (ปี 2555) นั่นหมายความว่า บริษัทตั้งเป้าเติบโตโดยเฉลี่ย 12% ต่อปี

ด้านภาพรวมการดำเนินงานปี 2551 นับเป็นอีก 1 ปีที่บริษัทมีความภาคภูมิใจและพึงพอใจเป็นอย่างมาก เพราะบริษัทมียอดขายและกำไรสุทธิเติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำไรสุทธิของปีนี้ที่สามารถทำได้ถึง 2,200.5 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ปีที่ 2 นับตั้งแต่ปี 2546 ที่มีกำไรสุทธิ 2,279 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อ 5 ปีก่อนที่ 2,000 ล้านเหรียญ ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าเงิน ราคาน้ำมัน วัตถุดิบปลา และการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้มีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยศักยภาพการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และในขณะเดียวกันก็ทำกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ทำให้บริษัทสามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้น พร้อมๆ การขยายตลาดเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากขึ้นด้วย ส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2551 นี้ ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ายังคงเป็นสินค้าหลักที่มีสัดส่วนการส่งออกถึง 48% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัท รองลงมาได้แก่ กุ้งแช่แข็ง 19% อาหารแมวบรรจุกระป๋อง 9% อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 8% อาหารกุ้ง 6% ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ 4% ปลาหมึกแช่แข็ง 3% และปลาซาร์ดีน/แมคเคอเรลบรรจุกระป๋อง 3% ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ยอดขายรวมในทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีการเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ซึ่งมีมูลค่าโดยรวมเพิ่มขึ้น 28.4% ขณะที่ปริมาณขายรวมก็เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปี 2550

ขณะที่ตลาดส่งออกหลักยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น อัฟริกา โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง เอเชีย แคนาดา และอเมริกาใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่ผ่านมาตลาดอัฟริกา และตลาดอเมริกาใต้ มีมูลค่าการขยายตัวสูงถึง 81% และ 65% ตามลำดับ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ