นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอส.แพ็ค แอนด์ พริ้นท์(SPACK)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ขณะนี้ทางบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)ขอชะลอการเจรจาซื้อหุ้น SPACK จากกองทุนเพื่อการร่วมทุนออกไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย รวมถึงแผนควบรวมกิจการกับ บมจ.โรงพิมพ์ตะวันออก(EPCO)ก็ต้องยกเลิกไปก่อน ทุกอย่างชะลอพับไว้หมด
"คิดว่าตอนนี้คงยังไม่มีการคุยกับใคร สถานการณ์แบบนี้คงจะไม่มี...ส่วนที่ SCC จะซื้อก็ต้องซื้อเพื่อ control ได้ แต่ตอนนี้หยุดไว้ก่อน ไม่ทราบว่าทำไมถึงหยุด เพราะเรื่องของธุรกิจอย่างนี้ของบริษัทใหญ่ ๆ งานเค้าก็เยอะ ตัวเองก็ต้องปรับปรุงตัวเอง เพราะทุกคนก็พยายามอยู่รอดของตัวเองก่อน เค้าคงจะชะลอทุกอย่าง"นายยุทธ กล่าว
สำหรับผลประกอบการในปี 52 คาดว่ายอดขายอาจจะปรับลงไป 10% จากปีที่แล้ว ตามคำสั่งซื้อของลูกค้าบางกลุ่มที่ชะลอตัว เช่น อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าส่งออก ขณะที่บางกลุ่มก็ยังไปได้ดี อย่างอุตสาหกรรมเครื่อวงใช้ไฟฟ้าที่จำหน่ายในประเทศ หรืออุตสาหกรรมถุงมือยางส่งออก
นายยุทธ กล่าวว่า โชคดีที่บริษัทไม่ได้มีลูกค้าในอุตสาหกรรมรถยนต์จึงไม่ได้มีผลกระทบมาก โดยสัดส่วนลูกค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าส่งออกคิดเป็นประมาณ 20% ต้นๆ ของรายได้ทั้งหมด ส่วนธุรกิจกระดาษก็ปกติ
"SPACK ปีนี้ก็ทรงๆ เหมือนกับธุรกิจทั่วๆไปที่จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอบ้าง โดยออร์เดอร์ที่เป็นลูกค้าเราที่ส่งออกพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าช่วงนี้ก็ชะลอ แต่ถ้าเป็น local consumption พวกนี้ก็ยังปกติ ส่วนถุงมือยางที่เป็นส่งออกก็ดีขึ้นมาก แต่ตัวที่แย่ลงก็จะเป็นพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ส่งออกซึ่งจะทำให้ยอดขายปีนี้ทั้งปีอาจจะปรับลงไป 10% จากปีที่แล้ว"นายยุทธ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูสถานการณ์ในครึ่งปีหลังก่อนว่าจะเป็นอย่างไรด้วย เพราะขณะนี้ยอมรับว่าคาดการณ์สถานการณ์ค่อนข้างลำบาก ยังไม่มีใครกล้าคาดการณ์อะไรได้แน่นอน แต่ก็มองว่ายอดขายไตรมาส 1/52 จะน้อยสุด แต่ก็หวังว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นมากสุดในช่วงไตรมาส 4/52 คิดว่าคงจะเริ่มดีขึ้นต่อไป ในปีนี้จะไม่มีการลงทุนเพิ่ม คงแค่พยายามประคองตัวไปเหมือนกับทุกคน และไม่มีการปลดพนักงานแต่อย่างใด
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นปีที่แล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 18% ที่ผ่านมาบริษัทก็พยายามลดต้นทุนอยู่ ในปีนี้ก็จะพยายามจะรักษาไว้อัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่เฉลี่ย 18% จึงเชื่อว่าอัตรากำไรขั้นต้นคงจะไม่ได้ลดลงหรืออาจจะลดลงบ้างเพราะยอดขายน้อยลง แต่ก็จะพยายามจะรักษาไว้ที่เฉลี่ย 18% ไม่ให้ลดลงจากนี้
ส่วนปี 51 คาดว่ารายได้ลดลงไป 2-3% จากปี 50 ที่มีรายได้ 1,234 ล้านบาท ขณะที่ในด้านกำไรสุทธิก็คงต้องไปตามแนวเดียวกันกับรายได้ อย่างไรก็ตาม งบการเงินปี 51 ก็ยังเป็นกำไรสุทธิอยู่ โดยในงวด 9 เดือนมีกำไรแล้ว 100 ล้านบาท