นายอภิชาติ จูตระกูล รองประธานกรรมการ บมจ.แสนสิริ(SIRI) ตั้งเป้ายอดขายโครงการในงาน Living in Style 2009 ประมาณ 2.5 พันล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายในไตรมาส 1/52 มีมูลค่ากว่า 5.5 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทยังมียอดขายล่วงหน้าอีกราว 1.7 หมื่นล้านบาทที่รอรับรู้รายได้ในช่วง 1-3 ปีสามารถรองรับการเติบโตของบริษัทได้
"การจัดงานในครั้งนี้มองว่าจะเป็นการกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้าในช่วงที่เหลือของปี 52 ได้เร็วขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ปรับตัวลดลง"นายอภิชาติ กล่าว
บมจ.แสนสิริ ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์(SCB)จัดงาน Living in Style 2009 ระหว่างวันที่ 6-9 มี.ค.โดยในงานจะมีการนำเสนอโครงการที่อยู่อาศัย จำนวน 43 โครงการ มูลค่าโครงการขายรวม 2.5 หมื่นล้านบาท รวมทั้งจะมีการเปิดตัวทาวน์เฮาส์ในโครงการใหม่ในกลุ่มอีก 8 ทำเล ราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาท รวมทั้งจะมีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม 2 แบรนด์
ในงานดังกล่าวธนาคารไทยพาณิชย์จะให้การสนับสนุนสินเชื่อกู้สูงสุด 100% ดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี สำหรับลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยในกลุ่มแสนสิริ
นายวันจักร์ บุรณศิริ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส SIRI เชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้ในปี 52 ได้ตามเป้าหมายที่ 1.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท
แม้ว่ายอดขายในช่วงต้นปีจะเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าในช่วงเดือนพ.ย-ธ.ค 51 โดยปัจุบันมียอดขายตั้งแต่ต้นปี-ปัจุบันประมาณ 2.8 พันล้านบาท รวมทั้งยอดขายในงาน 2.5 พันล้านบาทและหากรวมการรับรู้ในปีนี้อีกประมาณ 5-6 พันล้านบาทจากยอดขายรอโอน(backlog)ที่มีอยู่จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท
ขณะเดียวกันบริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GP) ให้ได้อัตรา 29-30% ซึ่งใกล้เคียงปีที่ผ่านมาด้วยการลดค่าใช้จ่าย เช่นการซื้อวัสดุเอง การล็อคราคาวัสดุทั้งโครงการ เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทคงจะไม่ชะลอการลงทุนโดยเฉพาะการพัฒนาโครงการใหม่และการซื้อที่ดินเพียงแต่จะพิจารณามากขึ้น การต่อรองราคามากขึ้นจากเดิมเท่านั้น เพราะจะต้องระมัดระวังความเสี่ยงด้วยภายใต้แผนงานในการลดค่าใช้จ่ายและสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งการเปิดโครงการในปีนี้ได้มีการซื้อที่ดินแล้ว 50% จากทั้งหมด 16 โครงการ ใช้เม็ดเงินประมาณ 2 พันล้านบาท มาจากวงเงินจากการกู้ 70% และมาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทด้วยที่ปัจจุบันมีอยู่ 1.5 พันล้านบาท
"เราเชื่อว่าแสนสิริ ยังเติบโตได้เพราะเรามียอดขายล่วงหน้าที่อยู่ในมือใน 1-3 ปีข้างหน้าถึง 1.7 หมื่นล้านบาทซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงอันดับต้นๆของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ และการที่เรามีแบรนด์ทาวน์พลัส 1 ใน3 ของ 16 โครงการในกลุ่มที่จะเปิดใหม่ซึ่งเจาะลูกค้าระดับกลางจะเป็นตัวกระตุ้นผู้บริโภคเข้ามา และยังมีมาตราการของภาครัฐอีก" นายวันจักร์ กล่าว