KBANK ปันผลงวดที่เหลือ 1.50 บ./ขยายวงเงินหุ้นกู้เป็นไม่เกิน 1.7 แสนลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 26, 2009 15:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2552 มีมติอนุมัติการจัดสรรกำไรจากผลการดำเนินงานปี 2551 เป็นสำรองตามกฎหมาย 130,000,000 บาท และจัดสรรกำไรจ่ายเงินปันผลหุ้นสามัญในอัตราหุ้นละ 2.00 บาท

และเนื่องจากธนาคารได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2551 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท จึงจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายอีกในอัตราหุ้นละ 1.50 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นของธนาคาร โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 17 เมษายน 2552 และรวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 20 เมษายน 2552 และจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 28 เมษายน 2552

พร้อมมั้ง ให้ขยายวงเงินของหุ้นกู้ จากวงเงินรวมไม่เกิน 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นวงเงินรวมไม่เกิน 170,000 ล้านบาท และเพิ่มเติมข้อความให้รวมถึงการเสนอขายหุ้นกู้แก่ผู้ลงทุนรายใหญ่

และ มีมติเห็นชอบในแผนการขยายการลงทุนในบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (MTL) ผ่านการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมในบริษัท เมืองไทย โฟร์ทิส โฮลดิ้ง จำกัด(MTFH) ซึ่งถือหุ้นอยู่ใน MTL ในสัดส่วน 75% เพื่อให้ธนาคารมีสัดส่วนการถือหุ้นใน MTFH เพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 51 และจะทำให้ธนาคารมีผลประโยชน์ (Economic Interest) ตามสัดส่วนใน MTL ประมาณร้อยละ 38.25

ทั้งนี้ การซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมใน MTFH นั้น ธนาคารจะดำเนินการโดย (1) จองซื้อหรือซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะออกโดย MTFH ตามสัดส่วนการถือหุ้นตลอดจนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ไม่ได้รับการจองซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิม และ (2) ซื้อหุ้น MTFH จากผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งผู้ถือหุ้นเดิมจำนวนหนึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของธนาคาร

ธนาคารสามารถซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมในบริษัทเมืองไทยโฟร์ทิสโฮลดิ้งจำกัด ("MTFH") จำนวนรวมทั้งสิ้น 19,191,635 หุ้น ในราคาซื้อหุ้นไม่เกิน 7,244 ล้านบาท (คำนวณจากมูลค่าของ MTL และ MTI ในส่วนที่ MTFH ถือหุ้น) บวกด้วยเงินสด (Cash) และสินทรัพย์ (Assets) หักด้วย หนี้สินและภาระผูกพัน (Liabilities) ที่ MTFH มีอยู่ ณ วันที่ทำการซื้อและขายหุ้น

หรือให้ธนาคารสามารถซื้อหรือลงทุนในหุ้นของบริษัทโฮลดิ้ง 2 ที่จะมีการจัดตั้งขึ้นใหม่ คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นไม่เกินกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ออกโดยบริษัทโฮลดิ้ง 2

ภายหลังการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมดังกล่าว จะมีบุคคลที่อาจมีความขัดแย้งของธนาคารถือหุ้นใน MTFH (ซึ่งจะเป็นบริษัทย่อยของธนาคาร) และ MTI ในสัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 10 โดยบุคคลดังกล่าวจะถือหุ้นใน MTFH และ MTI ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 24.41 และ 13.06 ตามลำดับ ในกรณี ดังกล่าวนี้ คณะกรรมการได้พิจารณาแล้วเห็นว่าโครงสร้างการถือหุ้นใน MTFH และ MTI ดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของธนาคารแล้ว

นอกจากนี้ ก่อนการซื้อหุ้นสามัญของ MTFH ของธนาคารในครั้งนี้ จะมีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของ MTFH ด้วย โดยให้ MTFH ขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ใน บริษัท เมืองไทย เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัท เมืองไทย กรุ๊ป เซอร์วิส จำกัด ออกไปให้แก่บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่อีกบริษัทหนึ่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ