STEC ปี 52 กำไรฟื้นตามมาร์จิ้นงานใหม่ ลุ้นปันผลงวดปี 52หลังล้างขาดทุนสะสม

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 26, 2009 16:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(STEC) ตั้งเป้ารับรู้รายได้ปี 52 ไว้ที่ 1.35 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าปี 51 ที่มีรายได้ 1.45 หมื่นล้านบาท แต่มั่นใจกำไรสุทธิปี 52 จะดีกว่าปีก่อนที่มี 178 ล้านบาท เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)จะสูงกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 3.3% หลังจากงานแอร์พอร์ตเรลลิ้งค์ ซึ่งเป็นงานที่ไม่มีกำไรจะหมดไป โดยขณะนี้เหลือมูลค่างานราว 750 ล้านบาท

นอกจากนี้ เชื่อว่าบริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการงวดปี 52 ได้ เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาขาดทุนสะสมที่มีอยู่กว่า 1 พันล้านบาทให้หมดภายในปีนี้

"ปีนี้เป้าหมายของการรับรู้รายได้จะลดลงจากปีที่แล้ว น่าจะอยู่ราว 1.35 หมื่นล่านบาท ลลดงจากปีที่แล้วประมาณ 1พันล้านบาท แต่ตัว Gross Margin น่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย" นายวรพันธ์ ช้อนทอง กรรมการรองผู้จัดการ สายงานการเงินและบริหาร STEC กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

ขณะเดียวกันงานใหม่ในปี 52 บริษัทคาดว่าจะได้ประมาณ 1.2-1.5 หมื่นล้านบาท ยังไม่รวมโครงการรถไฟฟ้าหรือโครงการเมกะโปรเจ็คต์ ซึ่งได้ปรับเพิ่มประมาณการจากปลายปีก่อนที่คาดไว้เดิมที่ 8 พันล้านบาท หลังจากที่มีรัฐบาลใหม่และมีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามหน่วยราชการเพิ่มขึ้น ทำให้ปีนี้บริษัทเน้นงานภาครัฐมากขึ้น โดยปีนี้บริษัทจะเข้าประมูลงานรัฐราว 6-8 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะได้งานราว 15-20% ของงานที่เข้าประมูล

อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ การเปิดประมูลงานแต่ละหน่วยงานยังล่าช้า ต้องการให้รัฐบาลกระตุ้นให้เร็วขึ้น

"หากเราได้งานใหญ่ๆสักงานหนึ่ง เรื่องของ Pressure ที่ต้องไปตัดราคางานเพื่อให้ได้งานก็จะลดลง แต่ ณ ปัจจุบัน งานภาครัฐออกมาตัดราคากันวุ่นวายไปหมด แต่เราไม่มีนโยบายตัดราคาแข่ง ราคาตัองสมเหตุผล ต้องมีมาร์จิ้นที่พออยู่ได้ ตอนนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์มากกว่า ไปตั้งมาร์จิ้นก็เป็นไปไม่ได้ บางครั้งเอามาแค่เสมอตัวก็ยังต้องรับ"นายวรพันธ์ กล่าว

ณ สิ้นปี 51 บริษัทมีงานในมือ(backlog)มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาส 1/52 บริษัทได้งานของเอกชนเป็นงานสร้างโรงงานปิโตรเคมี มูลค่างานราว 500 ล้านบาท ส่วนงานที่ติดต่อที่จะสร้างโรงงานปิโตรเคมีในสิงคโปร์นั้น เจ้าของงานได้ให้งานกับบริษัทท้องถิ่นไป

ส่วนงานแอร์พอร์ตเรลลิงค์ ซึ่งเป็นงานไม่มีกำไร กำลังจะหมดไป คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการในเดือนมี.ค.-เม.ย.คาดว่าจะมอบงานให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)ที่ตั้งเป้าจะเปิดให้บริการใน 12 ส.ค.นี้ โดยตอนนี้ก็สร้างเกือบเสร็จ เนื้องานสร้างเสร็จไป 96-97% เหลืองานไม่มาก ฉะนั้นตรงนี้ไม่เป็นปัญหา

*ลุ้นได้งานสายสีม่วง 1 สัญญา

สำหรับงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่าง นายวรพันธ์ กล่าวว่า บริษัทยังคาดหวังจะได้งานอย่างน้อย 1 สัญญา ซึ่งยังเหลือสัญญา 2 และ สัญญา 3 ที่จะเปิดซองในเร็วๆนี้ นอกจากนี้ยังคาดว่าปีนี้จะมีการเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ช่วงหมอชิด-สะพานใหม่) อีกเส้นทางซึ่งบริษัทจะเข้าร่วมประมูลด้วย ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และ บางซื่อ-ท่าพระ ระยะทางรวม 27 กิโลเมตรนั้น บริษัทประเมินว่าอาจเปิดประมูลไม่ทันปีนี้

"งานเมกะโปรเจ็คต์ พูดยากนะ เราไม่รู้จริงๆ ว่าคู่แข่งเขาใส่ราคาอย่างไร ทุกรายก็คิดว่าตัวเองใส่ราคาสมเหตุผล อย่างสายสีม่วง เราเข้าประมูลทั้ง 3 สัญญา เรามีความหวังอย่างน้อย 1 สัญญา แต่พอสัญญาที่ 1 ไม่ได้มันก็ทำให้ใจแป้ว เหมือนกันนะ เพราะราคาเสนอห่างกันไม่กี่ร้อยล้าน ก็เสียดายเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่หมดหวังนะ ยังลุ้นอยู่" นายวรพันธ์ กล่าว

ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต บริษัทก็ยังสนใจ แต่หากยังมีเงื่อนไขต้องให้ผู้รับเหมารื้อย้ายเองก็คงไม่ร่วมประมูล หรือแม้ว่า รฟท.ซึ่งเป็นเจ้าของงานอาจจะเป็นผู้รื้อย้ายเองแต่ยังทำไม่สำเร็จแล้วไปเปิดประมูล ปัญหาจะเกิดเหมือนโครงการแอร์พอร์ตเรลลิ้งที่ส่งมอบพื้นที่ไม่ทัน ทำให้การก่อสร้างเดินไม่ได้ตามกำหนด ก็ต้องมีการขยายเวลาก่อสร้าง ซึ่งทำให้ผุ้รับเหมามีต้นทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงต้องขอรอดูรายละเอียดในเงื่อนไขในทีโออาร์อีกครั้ง

*เน้นรักษาสภาพคล่อง

นายวรพันธ์ กล่าวว่า บริษัทไม่คิดจะมีการลงทุนขนาดใหญ่ในปีนี้ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ เพราะต้องการรักษาสภาพคล่องไว้ โดยยังมีรายรับที่รอเก็บจาก รฟท.อยู่ประมาณกว่า 1 พันล้านบาท จากงานแอร์พอร์ตเรลลิงค์ที่กำลังจะจบลงเร็วๆ นี้

"ปีนี้เราเพียงรักษาธุรกิจหลักไว้ ส่วนสภาพคล่องปีนี้ยังโอเค"นายวรพันธ์ กล่าว

ส่วนการลงทุนใน บริษัท แมทเธอร์ ซัพพลาย ซึ่งเป็นนายหน้าจัดซื้อจัดหาสินค้าให้ตามหน่วยงานราชการ เช่น เครื่องมือเครื่องจักรต่างๆ เพราะบริษัทมองเห็นโอกาสที่สามารถเป็นตัวแทนจำหน่ายได้ เพราะบริษัทรู้จ้กเครือข่ายที่จะหาสินค้าที่มีความชำนาญระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ก็มองว่าเป็นโครงการเล็กๆ ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้เพื่อรองรับธุรกิจในอนาคต

"เป็นแนวคิดว่าเราจะเดินทางนี้ หลังจากนี้ก็จะพยายามไปหาตลาดมาว่าจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน"นายวรพันธ์ กล่าว

ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขณะนี้ชะลอไปก่อน โดยหยุดติดต่อหรือเจรจาการร่วมทุนกับผู้ประกอบอสังหาริมทรัพย์ที่จะทำโครงการบนพื้นที่ 30 ไร่ บนถนนบางนา-ตราด กม.4 แต่ยังไม่ได้ล้มเลิกแผน เพราะมองไว้ระยะ 5 ปี ก็ยังอยู่วิสัยที่ลงทุนได้ เพราะเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นอาคารสำนักงาน หรือ คอนโดมิเนียม ได้


แท็ก (STEC)   ปันผล  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ