SH ขายสินทรัพย์ธุรกิจอาหารเหตุไร้อนาคต/รง.เอทานอลเริ่มผลิตใน12-18เดือน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 27, 2009 11:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมโภชน์ อาหุนัย กรรมการ บมจ.ซีฮอร์ส(SH) เปิดเผยถึงสาเหตุที่คณะกรรมการบริษัทตัดสินใจให้ขายทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอาหาร เนื่องจากธุรกิจนี้ไม่ค่อยมีการเติบโตและมีผลขาดทุนมาตลอด ขณะที่มั่นใจว่าธุรกิจพลังงานทดแทนเรามั่นใจว่ามีอนาคตที่ดี เพราะแหล่งน้ำมันที่โลกค้นพบใหม่กับจำนวนที่ใช้เทียบกันไม่ได้ เนื่องจากส่วนที่ใช้เพิ่มขึ้นเร็วมาก

"ผมเข้ามาเป็นกรรมการ 2-3 ปี ธุรกิจลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอด ขาดทุนตลอด ประกอบกับดูจากเศรษฐกิจโลกค่อนข้างจะมีความเสี่ยง เราพยายามลดต้นทุนอยู่เรื่อย ๆ แต่มันก็ลำบากจริง ๆ ต้นทุนหลักของธุรกิจนี้คือเรื่องคนกับราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบแปรผันตรงกับราคาน้ำมัน ที่นี้ประเทศไทยมีข้อเสียเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน จะเห็นได้ว่าประเทศไทยเงินบาทไทยแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่ง เวลาอ่อนค่าก็อ่อนค่าช้ากว่า เวลาไปขายในตลาดโลกสินค้าเราก็จะแพงกว่าคู่แข่ง เช่น อินโดนีเซียค่าเงินอ่อนค่ากว่า ค่าแรงก็ถูกกว่า ซึ่งถ้าเงินเราอ่อนค่าเท่าๆ กัน ราคาก็สูสีกัน"นายสมโภชน์ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

นายสมโภชน์ กล่าวว่า จริงอยู่ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ทำให้ดูเหมือนว่าธุรกิจอาหารน่าจะยังไปได้ดีกว่าธุรกิจพลังงานทดแทนที่เวลานี้ราคาน้ำมันก็ปรับตัวลดลงมามาก แต่ประเด็นเหล่านี้เป็นสิ่งที่คณะกรรมการบริษัทต้องพิจารณาและตัดสินใจอย่างรอบคอบ แต่เราเชื่อและมั่นใจว่าในอนาคตธุรกิจพลังงานทดแทนมีความจำเป็นแน่นอน

สำหรับความคืบหน้าเรื่องการตั้งโรงงานเอทานอลที่โคราช คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 12-18 เดือนจึงจะเริ่มผลิตได้ โดยขณะนี้ได้เริ่งวางรากฐานด้านระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของโครงการไปแล้ว

นายสมโภชน์ ยังคาดว่า หากบริษัทฯได้รับความเห็นชอบจากมติผู้ถือหุ้นให้ขายทรัพย์สินเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอาหาร คาดว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อพนักงานจำนวนประมาณ 500 คนของโรงงาน 2 แห่ง เนื่องจากโรงงานอาหารเราอยู่ที่สงขลากับสุราษฎร์ธานี แต่โรงงานเอทานอลอยู่โคราช

"คงจะกระทบพนักงาน 500 คนแน่นอน เพราะคงไม่สามารถโยกย้ายพนักงานจากภาคใต้ไปอีสานได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างระดับแรงงาน คงไม่อยากย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ซื้อรายใหม่จะจะมีนโยบายหรือเงื่อนไขอะไรเกี่ยวกับการซื้อทรัพย์สินและพนักงานเหล่านี้"นายสมโภชน์ กล่าว

ส่วนอนาคตบริษัทจะย้ายการซื้อขายจากกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจธุรกิจการเกษตร ไปอยู่กลุ่มและหมวดพลังงานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการบริษัทที่จะมีนโยบายธุรกิจอย่างไร และการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนรายได้หลักมาเป็นธุรกิจพลังงานทั้งหมดทันทีจากเดิมเป็นธุรกิจอาหาร หรือ จะค่อยๆ ทยอยปรับลดสัดส่วนรายได้ รวมทั้งต้องขึ้นอยู่กับตลาดหลักทรัพย์ที่จะพิจารณาตามความเหมาะสม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ