บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส(UMS) เตรียมแผนรับมือผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อผู้ประกอบการในประเทศ ด้วยการเน้นบริหารต้นทุนการผลิตและรักษาปริมาณขายไม่ให้ต่ำกว่าปีก่อน พร้อมกับ ลดค่าใช้จ่าย และหารายได้เสริม รวมทั้ง มองหาแหล่งรายได้ใหม่ ๆ อย่างการลงทุนเหมืองถ่านหิน หรือการทำธุรกิจส่งออกสินแร่ หลังการลงทุนด้านคลังสินค้าและท่าเทียบเรือเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยคาดว่าธุรกิจจะสามารถพลิกมาโตเท่าตัวได้ในปี 53 หากเศรษฐกิจฟื้นตัวในไตรมาส 3-4 ปีนี้
"เราหวังว่าเศรษฐกิจจะเริ่มกลับมาในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ ตลาดจะเริ่มกลับมา ซึ่ง UMS เรามีความด้านศักยภาพการแข่งขัน ดังนี้เราเชื่อว่าปี 53 ยอดขายและรายได้เราจะกลับมา Double แต่ปี 52 อย่างเลวร้ายสุดเราก็จะยังมีกำไรสุทธิแต่อาจจะลดลงจากปี 51 อัตรากำไรขั้นต้นก็อาจจะลดลงจากปี 51 ที่ ทำได้ 33-35% เพราะปีนี้เราคงจะเน้นเรื่องการทำตลาด ลดแลกแจกแถมด้วย เพื่อดึงลูกค้าประเภทที่ซื้อเราบ้างไม่ซื้อบ้างกับลูกค้าประเภทที่ไม่เคยซื้อเราเลย แต่อัตรากำไรสุทธิอาจจะเพิ้มขึ้นจาก 12-13% เพราะเราจะเน้นปริมาณการขายที่เพิ่มมากขึ้น"นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการผู้จัดการ UMS
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาลูกค้าส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ ขณะที่ลูกค้าขนาดกลางและขนาดเล็กที่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สิ่งทอ จะกระทบไม่มากนัก ซึ่งเชื่อการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกระตุ้นการใช้จ่ายถือว่าทำถูกต้องแล้ว ทำให้เรายิ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจน่าจะเริ่มกลับมาฟื้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ในปีนี้ UMS ตั้งเป้าหมายปริมาณขายไว้ไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มี 1.4-1.5 ล้านตัน แม้ว่าเศรษฐกิจจะหดตัว แต่ในแง่เลวร้ายสุดก็ยังมีกำไรในปีนี้แม้ยอมรับว่าอาจจะลดลงจากปีก่อน เนื่องจากมีการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจเทรดดิ้งถ่านหิน และราคาเฉลี่ยมีแนวโน้มอยู่ที่ 2.5-3.0 พันบาท/ตัน ลดลงจาก 3.0-3.5 พันบาท/ตันในปี 51
"ปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจค้าถ่านหินสูงมาก จากที่เคยมีคนทำธุรกิจค้าขายถ่านหิน 4-5 ราย ปัจจุบันมีถึง 14-15 ราย แต่เราเชื่อว่าคนที่จะอยู่ในธุรกิจนี้ได้ต้องบริหารต้นทุนเป็น มีการทำตลาดที่ดี ซึ่ง UMS มีสิ่งเหล่านี้และจะใช้ศักยภาพที่เรามีอยู่แข่งขันด้านราคาอย่างเหมาะสม"นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า โดยปกติ UMS จะพยายามรักษาระดับสต็อกไว้ไม่เกิน 3 เดือน แต่ปัจจุบันมีเกินมาเล็กน้อย คือประมาณ 4 เดือน แต่เชื่อว่าภายในไตรมาสนี้ ระดับสต็อกจะกลับมาอยู่ที่ประมาณ 3 เดือนได้ตามปกติ
อนึ่ง UMS แจ้งกำไรปี 51 เท่ากับ 402.94 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.72 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่กำไร 360.95 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.58 บาท พร้อมยืนยันนโยบายการจ่ายเงินปันผลปี 52 ไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ โดยในงวดปี 51 บริษัทจ่ายเงินปันผลในอัตรา 47-48% ของกำไรสุทธิ
สำหรับการลงทุนเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียคาดว่าจะสรุปได้ปลายปีนี้และจะลงทุนปี 53 เบื้องต้นตั้งงบลงทุนไว้ไม่เกิน 1 พันล้านบาท และคาดว่าจะมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 30% ภายใน 2-3 ปี
"เรากำลังเจรจาเจ้าของเหมือง 3-4 ราย ระดับปริมาณถ่านหินประมาณ 10-50 ล้านตัน ซึ่งคาดว่าปลายปีนี้จะได้ข้อสรุปว่าจะเป็นการเข้าร่วมทุนหรือซื้อกิจการ และคาดว่าจะเข้าลงทุนในปี 53 ใช้เงินลงทุนไม่เกิน 1 พันล้านบาท แหล่งเงินทุนมาจากเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการประมาณ 30-40% และกู้สถาบันการเงินประมาณ 60-70% อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีวอแรนต์ที่ยังไม่ได้แปลงสภาพอีกประมาณ 52 ล้านหน่วย และจะแปลงสภาพทุกๆ ไตรมาส ซึ่งถ้าแปลงสภาพหมดจะมีเงินเข้ามาอีกประมาณ 400 ล้านบาท"นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า คาดว่า UMS จะเริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนทำเหมืองถ่านหินที่อินโดนีเซียประมาณปลายปี 53 และรับรู้เต็มที่ในปี 54 และคาดผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) จะอยู่ที่ 30% ภายใน 2-3 ปี