บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC)ตั้งเป้าในปีนี้จะรักษา EBITDA Margin ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 48.3% โดยคาดว่ารายได้จากการให้บริการยังน่าจะเติบโตได้แม้ว่าเศรษฐกิจจะมีโอกาสหดตัว ขณะที่ยอดลูกค้าใหม่ในปีนี้น่าจะมีเข้ามาเพิ่มราว 2.5 ล้านราย ซึ่งลดลงจากจากปีก่อนตามภาพรวมอุตสาหกรรมสื่อสาร แต่ยังย้ำความจำเป็นในการลงทุนระบบ 3 จีที่คาดว่าจะได้รับอนุญาตในช่วงไตรมาส 3/52 คาดว่าจะลงทุนต่อเนื่องรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาท
นายพรรัตน์ เจนจรัสสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและวิเคราะห์การตลาด ADVANC กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในปีนี้จะมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 2.5 ล้านราย หรือครองส่วนแบ่งตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ได้ตามเป้าหมายที่ 50% ของยอดลูกค้าใหม่ในตลาดรวมราว 5 ล้านราย ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนที่บริษัทมียอดลูกค้าใหม่ 3.2 ล้านราย
นอกจากนั้น ในด้านรายได้จากค่าบริการ(รวมค่าไอซี)คาดว่าจะเติบโต 3-4% บนสมมติฐานอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ปีนี้ที่ 0-2% ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้จากค่าบริการ(รวมไอซี)โต 5% แต่หากจีดีพีปรับตัวลดลงก็คิดว่ารายได้ของบริษัทก็จะลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเชื่อว่าอุตสาหกรรมสื่อสารไม่น่าจะกระทบมากนัก เพราะเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตไปแล้ว
แต่หากพิจารณารายได้ที่ไม่รวมค่าไอซีในปีนี้ ก็คาดว่าจะเติบโต 4-4.5% จากปี 51 ที่เติบโต 6.5% โดยอัตราเติบโตของรายได้ในปีก่อนต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7-8% เนื่องจากในไตรมาส 4/51 ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจขาลงและเหตุการณ์ปิดสนามบินทำให้การใช้บริการโทรข้ามประเทศลดลงอย่างมาก
"ปีนี้เราจะรักษาระดับอัตรากำไร EBITDA Margin ไว้ที่ 46-48% ไม่รวมไอซี"นายพรรัตน์ กล่าว
นายพรรัตน์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าทางคณะกรรมการกำกับกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.)จะออกใบอนุญาตให้บริการระบบ 3G บนคลื่น 2.1 กิ๊กกะเฮิร์ตซ บนคลื่นใหม่ได้ภายในไตรมาส 3/52 คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนในช่วง 12 เดือนแรกราว 2 หมื่นล้านบาทและจะลงทุนต่อเนื่องกัน 3 ปี ๆ ละ 2 หมื่นล้านบาท รวมแล้วคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนทั้งหมดราว 6 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะเริ่มให้บริการ 3G บนคลื่นใหม่ได้ภายใน 6 เดือนหลังจากได้ใบอนุญาต โดยการลงทุน 3G จะมีหักค่าเสื่อมราว 7-8 ปี โดยสูงสุด 10 ปี
บริษัทมีความพร้อมในด้านเงินลงทุน เนื่องจากมีกระแสเงินสดในมือราว 2.4 หมื่นล้านบาท แต่ขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังจะลงทุนในเครือข่ายระบบเดิมประมาณ 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท และมีภาระต้องจ่ายเงินปันผลแต่ละปีราว 1.8-1.9 หมื่นล้านบาท จากนโยบายจ่ายไม่ต่ำกว่า 6.30 บาท ดังนั้น บริษัทอาจจะต้องกู้เงินมาเพิ่มอีกราว 3-5 พันล้านบาทภายในช่วง 3 ปี
"เรามีเงินเยอะสุด เพราะฉะนั้นเราก็จะได้เปรียบทั้งในด้านการลงทุนและการขยายตลาด"นายพรรัตน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีแผนออกหุ้นกู้เพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้
นายพรรัตน์ กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทเริมลงทุนระยบบ 3G แล้ว บริษัทจะทยอยย้ายลูกค้าจากระบบโครงข่าวยเดิมที่อยู่ภายใต้สัมปทานขอองทีโอทีมาที่ระบบ 3G แต่คงจะมาไม่ได้ทั้งหมด คงมีเหลืออยู่บ้าง
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะเจรจากับทางทีโอทีเพื่อขอเช่าทรัพย์สินตามสัญญาสัมปทานเดิมต่อ หลังจากหมดอายุสัมปทานในปี ค.ศ.2015 ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อยุติในการเจรจาก่อน 5 ปีนี้