บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) คาดว่าภาวะเศรษฐกิจโลกที่ทรุดตัวลงส่งกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้อย่างมาก โดยเฉพาะราคาน้ำมันและความต้องการสินค้าที่ลดลง ทำให้บริษัทคาดว่าปริมาณการผลิตอาจลดลงจากเป้าที่ตั้งไว้ และราคาเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ต่ำกว่าปีก่อน นอกจากนั้น ยังทำให้บริษัทต้องปรับลดวงเงินลงทุนในปีนี้ลงด้วย
นายอัษฎากร ลิ้มปิติ รองผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์และพัฒนาศักยภาพ PTTEP กล่าวว่า รายได้และกำไรของบริษัทในปี 52 จะออกมาต่ำกว่าปีก่อนแน่นอน เนื่องจากคาดว่าราคาเฉลี่ยผลิตภัณฑ์จะลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยจะลดมาอยู่ที่ราว 40-45 เหรียญฯ/บาร์เรล จากปีก่อนอยู่ที่ 93 เหรียญฯ/บาร์เรล ขณะที่ความต้องการใช้ก๊าซก็จะลดลงตามการใช้ไฟฟ้าด้วย
บริษัทคาดว่าปริมาณการการผลิตในปีนี้น่าจะไม่ถึงเป้าหมายที่เคยคาดไว้ที่ 2.35 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งจะเป็นสัดส่วนของก๊าซ 70% และน้ำมัน 30% แต่ก็จะพยายามรักษาระดับไม่ให้ต่ำกว่าปีก่อนที่มีปริมาณผลิต 2.31 แสนบาร์เรล/วัน โดยในปีนี้จะเน้นการรับก๊าซจากแหล่งต่าง ๆ แค่ตามสัญญาที่ระบุไว้ ไม่ซื้อในส่วนเกินจากสัญญา
ในปีนี้จะมีก๊าซจากแหล่งใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา ได้แก่ อาทิตย์เหนือ 120 ล้าน ลบ.ฟ./วัน, JDA หลุม B17 จะเข้ามา 270 ล้าน ลบ.ฟ./วันในเดือนต.ค., แหล่งใหม่ในออสเตรเลีย ที่คาดว่าจะเข้ามาส่วนหนึ่งในไตรมาส 4/52 จากกำลังผลิตทั้งหมดราว 35,000 บาร์เรล/วัน
ส่วนแหล่ง M9 ในพม่า กำลังมีการเจรจาสัญญารับซื้อก๊าซอยู่ คาดว่าจะมีข้อสรุปในไตรมาส 1/52 ซึ่งจะขายก๊าซให้กับพม่าราว 60 ล้าน ลบ.ฟ./วัน และส่งมาขายในประเทศไทย 240 ล้าน ลบ.ฟ./วัน ในปี 53-54 ซึ่งหลังจากเซ็นสัญญาแล้ว บริษัทจะเปิดทางให้ Myanmar Oil & Gas เข้ามาถือหุ้น 15% จากนั้นจะเจรจาขายหุ้นให้กับพันธมิตรรายอื่นอย่างน้อย 1 รายเข้ามาถือหุ้นทั้ง 5 แหล่ง คือ M9, M11, M7, M3 และ M4 โดย PTTEP จะยังคงถือหุ้นใหญ่ในแต่ละแหล่งไม่ต่ำกว่า 50%
ในด้านการลงทุนนั้นปีนี้บริษัทคงจะต้องปรับลดวงเงินลงทุนลง 10% จากแผนงานเดิมที่กำหนดไว้ 9.7 หมื่นล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจที่หดตัวลง โดยบริษัทจะเลื่อนการสำรวจหลุมบางแห่งที่ไม่จำเป็นออกไป แต่ยังยืนยันที่จะมองหาโอกาสการเข้าลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพในลักษณะเดียวกับที่เข้าไปลงทุนแหล่งสำรวจในออสเตรเลีย แต่การลงทุนด้านเฮฟวี่ออยล์ที่บริษัทเคยสนใจจะเข้าไปในทวีปอเมริกาทั้งอเมริกาเหนือและใต้ คงต้องชะลออกไปก่อน เพราะยังไม่คุ้มค่าในการลงทุน