โบรกฯแนะซื้อMCOTราคาถูก-ปันผลดี แม้เสี่ยงกม.คลื่นความถี่ฯผ่านสภาวันนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 4, 2009 16:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ เสียงแตกทั้งแนะ"ซื้อ"หรือ"ถือ"หุ้นบมจ.อสมท.(MCOT)โดยที่เห็นว่าน่าลงทุน เพราะราคาหุ้นลงมาต่ำถูกกว่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่มเดียวกัน และคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลในอัตราที่ดีราว 10 กว่า% แม้ว่าประมาณการว่ารายได้และกำไรสุทธิปี 52 ลดลงตามภาวะอุตสาหกรรมโฆษณา โดยมองว่าราคาได้สะท้อนปัจจัยลบมากพอสมควรแล้ว ขณะที่ซีอีโอใหม่น่าจะได้ตัวราวไตรมาส 2/52

แต่ยังมีโบรกเกอร์บางรายมองว่าหุ้น MCOT มีความเสี่ยงเรื่องผลประกอบการได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมโดยรวมหดตัวหนักในครึ่งปีแรก และบริษัทก็ไม่มีการปรับผังรายการ รวมทั้งยังมีประเด็น พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลี่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ที่เริ่มพิจารณาในสภาฯ วันนี้ หากผ่านจะส่งผลให้ MCOT ต้องแบ่งรายได้ค่าสัมปทานจาก BEC ให้รัฐครึ่งหนึ่ง มีผลกระทบต่อกำไร ทั้งนี้คาดว่า พ.ร.บ.นี้น่าจะมีผลบังคับใช้ในไตรมาส 4/52 หรือต้นปี 53

          โบรกเกอร์           คำแนะนำ       ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          บล.กิมเอ็ง            ถือ            24.00
          บล.กสิกรไทย          ซื้อ            21.30
          สถาบันวิจัยนครหลวงไทย  ถือ            18.00
          บล.เคจีไอ            ถือ            16.40
          บล.เกียรตินาคิน        ถือ            15.64
          บล.เมอร์ชั่นฯ          ซื้อ              -
          บล.ฟิลลิป             ซื้อ            19.10

นักวิเคราะห์จากบล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า ผู้บริหาร MCOT ตั้งเป้ารายได้ปี 52 เติบโต 4% แต่เรากลับมองว่ารายได้ของ MCOT จะลดลง 6% จากปีก่อน โดยบริษัทจะได้รับเงินสัมปทานจากบมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) ลดลงจากเคยได้เต็มเหลือครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งจ่ายให้กับรัฐหรือกระทรวงการคลัง ตามมพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลี่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ซึ่งได้เข้าสู่วาระการพิจารณาของรัฐสภาในวันนี้

ทั้งนี้ ในปี 52 MCOT จะได้รับค่าสัมปทานจาก BEC ประมาณ 150 ล้านบาท

"เราไม่แน่ใจว่าผลของพ.ร.บ.จะมีเมื่อไร แต่ป้องกันความเสี่ยงก็ได้บวกเข้าไปก่อน" นักวิเคราะห์ กล่าว

นอกจากนี้ รายได้โฆษณาก็คาดว่ามีความเสี่ยง จากภาวะเศรษฐกิจหดตัวเนื่องจากบริษัทต่างๆลดการใช้งบโฆษณา หรืออาจจะใช้งบจากช่องเล็กไปช่องใหญ่

ส่วนกำไรสุทธิ คาดว่าจะลดลง 11% จากปีก่อนมาอยู่ที่ 1,096 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากรายได้ค่าสัมปทานจาก BEC มีผลต่อกำไรพอสมควร

แต่ยังแนะนำให้ซื้อ เพราะเห็นว่าราคาหุ้น MCOT ค่อนข้างถูก โดยราคาปัจจุบัน (13 บาท) มีพี/อีประมาณ 8 เท่า เทียบกับ BEC ที่ราคาหุ้นวันนี้มีพี/อี 13-14 เท่า รวมทั้ง บริษัทจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงกว่า 10%

"เรามองว่าราคาลงมาตอบรับไปแล้ว มองงว่าราคาตอนนี้ยังน่าสนใจ เพราะตอนนี้เงินปันผลของปีนี้ก็น่าจะได้ 10%กว่า ซึ่งดีกว่าเงินฝาก และเรื่องความเสี่ยง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่เราก็ใส่ไปแล้ว" นักวิเคราะห์กล่าว

จากการพบผู้บริหาร MCOT เมื่อเร็วๆนี้ ผู้บริหารของ MCOT ตั้งเป้ารายได้ปี 52 จะเติบโต 4% จากปีก่อนที่มี 4,226 ล้านบาท รายได้หลักมาจากรายได้ส่วนของโทรทัศน์ที่คาดจะได้รับผลดีจากการปรับผังรายการและขึ้นค่าโฆษณาในบางรายการ และบริษัทยืนยันอัตราการจ่ายปันผลในปี 52 จะไม่ต่ำกว่า 80% ของกำไรสุทธิ แต่จะมากเท่าปี 51 ที่จ่ายสูงถึง 89% ของกำไรสุทธิหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ส่วนการสรรหา CEO คนใหม่ คาดจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 2 ของปี

ด้านบล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ มอง MCOT ในแง่ของการเป็นหุ้น Defensive Stock โดยคาดผลประกอบการจะทำได้ใกล้เคียงปี 51 ขณะที่มีปันผลจ่ายในระดับสูง โดย Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 52 เฉลี่ยที่ 1,164 ลบ. และปันผลจ่ายที่ 1.40 บาท คิดเป็น Dividend Yield 11.5%

อย่งไรก็ตาม ตลาดยังคงกังวลในประเด็น พรบ.องค์กรจัดสรรรคลื่นความถี่ ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุป และอาจกระทบกับรายได้ค่าสัมปทานที่ MCOT ได้รับจาก BEC (ประมาณ 142 ลบ.ในปี 51) อย่างไรก็ตามเรามองว่าตลาดกังวลมากไป โดยผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวไม่มากอย่างมีนัยสำคัญ (ราว 5.5% ของประมาณการปี 52)

"ราคา MCOT ยังจัดว่า และถูกมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยที่ราคาปิดล่าสุด MCOT ซื้อขายที่ระดับ P/E ปี 2009 เพียง 7.14 เท่า Dividend Yield ปี 52 ที่ราว 11.5% ถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับ BEC ซึ่งเทรดที่ P/E 13 เท่า Dividend Yield 7.7%"บทวิจัย ระบุ

ขณะที่ น.ส.จิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กลับมองว่า ผลประกอบการ รายได้และกำไรสุทธิปี 52 ของ MCOT อาจหดตัวลงตามอุตสาหกรรมโฆษณา อีกทั้งบริษัทยังไม่มีซีอีโอคนใหม่ทำให้เกิดสูญญากาศในการบริหาร รวมทั้ง ผังรายการช่อง 9 กว่าจะมีปรับผังก็ในช่วงครึ่งหลังของปี ตอนนี้ทำได้เพียงขยับค่าโฆษณารายการซิทคอมที่ติดตลาดอยู่เท่านั้น ในแง่รายการข่าว แม้จะมีสัดส่วนถึง 60% แต่ก็ไม่โดดเด่นเท่าช่อง 3(BEC)รายการละครก็ไม่เด่นอยู่แล้ว ทำให้เรทติ้งยังไม่ดี

แต่ที่ผ่านมาได้เงินโฆษณาจากโครงการภาครัฐ เช่น โครงการไทยเที่ยวไทย เป็นต้น ซึ่งปีนี้จะได้เม็ดเงินตรงนี้กลับมาจากช่วง 3 ปีที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย แต่ส่วนนี้ไม่ได้เป็นรายได้หลัก เพียงแต่เข้ามาช่วยประคองผลประกอบการ

ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิปี 52 ของ MCOT น่าจะลดลง 16% จากปีก่อนมาอยู่ที่ 1,028 ล้านบาท จาก 1,200 ล้านบาท ส่วนรายได้คาดลดลง 6% จากปีก่อน สาเหตุที่กำไรสุทธิลดลงมากกว่ารายได้ เพราะรายการทีวีมีต้นทุนคงที่ซึ่งมีสัดส่วน 60% อยู่แล้วเมื่อรายได้ขยายตัวน้อย ก็มีผลกระทบต่อกำไรของบริษัท

"ถ้าเป็นคนเอาเงินปันผลเพราะหุ้นตัวนี้จ่ายปันผลดี 7-8% เพราะไม่มีหนี้เงินกู้ และงบลงทุนก็ต่ำ ทำให้จ่ายปันผลได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแต่ซื้อไปหุ้นก็คงไม่ขึ้น ไม่ได้ถือว่าน่าสนใจ จริงๆถ้าดูหุ้นที่จ่ายปันผล 7-8% ก็มีอยู่เยอะ เราจึงไม่ได้แนะนำซื้อ MCOT ด้วยภาพอุตสาหกรรมถดถอย โดยเฉพาะครึ่งปีแรกไม่ต้องมามองกันเลย ไม่ได้มีข่าวบวกระยะสั้น และบริษัทก็ยังไม่ได้ปรับผังรายการเลย" น.ส.จิตรา กล่าว

ส่วนประเด็น พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ที่กำลังจะผ่านพิจารณารัฐสภากว่าจะแล้วเสร็จคงปลายปีนี้ โดยจะมีการพิจารณา 3 วาระ และอย่างเร็วคาดว่ามีผลในค้นปีหน้า(53)อย่างไรก็ดี เมื่อมีข่าวออกมาก็ไม่ดีกับหุ้น MCOT เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยง

ปัจจุบัน รายได้สัมปทานจาก BEC เป็นรายได้ไม่มีต้นทุน จึงมีสัดส่วนสูงถึง 10% ของกำไรสุทธิ ซึ่งหากหายไปปีนี้ก็จะแย่ เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ทำให้อุตสาหกรรมโฆษณา ผ่านวิทยุโทรทัศน์หดตัวลง ก็จะยิ่งทำให้ผลประกอบการไม่ดีมากขึ้น

สำหรับบทวิเคราะห์ของ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)คาดว่า ธุรกิจโทรทัศน์จะมีการเติบโตต่อเนื่องแม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง เนื่องจากการปรับผังรายการใหม่ การปรับขึ้นค่าโฆษณาซิทคอม การมี Seasonal programme ซึ่งได้รับความนิยม เช่น The Star 5 และ AF6 รวมทั้งเป็น Host broadcaster สำหรับ Asian Summit ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 30 ล้านบาท ในขณะที่จะมีการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นประเมินว่ากำไรสุทธิ ในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 4% เป็น 1,275 ล้านบาท (1.85 บาท/หุ้น)

และมองว่า MCOT มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีเงินสดสุทธิถึง 2,452 ล้านบาทหรือคิดเป็น 3.57 บาท/หุ้น บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังปี 51 เท่ากับ 0.85 บาท/หุ้น (XD 31 มีนาคม) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนในช่วงครึ่งปีสูงถึง 7% ราคาเหมาะสมของหุ้นซึ่งประเมินด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสดเท่ากับ 24.00 บาท

อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงในการปรับลดประมาณการกำไรและราคาที่เหมาะสมของหุ้นลงหาก พ.ร.บ. องค์กรจัด สรรคลื่นความถี่ฯ มีผลบังคับใช้ จึงปรับคำแนะนำจาก ทยอยสะสม มาเป็น ถือ

ทั้งนี้ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม จะถูกนำเข้าสภาในวันนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่าอย่างเร็วที่สุดจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาในไตรมาส 4/52 และบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ