นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) งวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 มีกำไรรวมกัน 313,068 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 109,086 ล้านบาท หรือลดลง 25%
ทั้งนี้ หากไม่รวมผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม NC (Non-Compliance) และ NPG (Non-Performing Group) ในงวด ปี 2551 บริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 309,973 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 27%
สาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทจดทะเบียนโดยรวมมีกำไรลดลงจากปี 50 มาจากผลขาดทุนจากการดำเนินงานของกลุ่มพลังงานในไตรมาสที่สี่ และการอ่อนค่าของเงินบาทส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนที่มีภาระหนี้ต่างประเทศขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 15,456 ล้านบาท ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีแนวโน้มตกต่ำในช่วงปลายปี
แม้ว่าผลประกอบการโดยรวมงวดปี 51 ลดลง แต่บริษัทจดทะเบียนรวม SET และ mai ยังสามารถทำยอดขายสูงถึง 7.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 50 ราว 22% นอกจากนี้ ถ้าพิจารณาในด้านอัตราเงินปันผลตอบแทน ซึ่งมีบริษัทจดทะเบียน 272 บริษัท ประกาศจ่ายเงินปันผลงวดปี 51 แล้ว พบว่ามีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงถึง 6.65%
นางภัทรียา กล่าวว่า หากพิจารณากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจการเงินมีกำไรสุทธิ 89,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 396% และกลุ่มเกษตรและกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร มีกำไรสุทธิ 18,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67%
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท.(PTT), บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP), ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB), ธนาคารกรุงเทพ(BBL) และ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)