นายอัศวิน เตชเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบอร์ลี่ยุคเกอร์(BJC)เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ในช่วงประเมินสถานการณ์หลังจากที่ยอดขายในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.ปรับลดลงตามกำลังซื้อในประเทศที่หดตัวลง โดยจะขอรอประมินภาวะตลาดอีกครั้งหลังจากสิ้นสุดไตรมาสแรกของปีแล้วว่าจำเป็นต้องทบทวนเป้าหมายรายได้ในปี 52 ที่วางไว้ว่าจะเติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.2 หมื่นล้านบาทหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นบริษัทได้ชะลอแผนร่วมลงทุนผลิตขวดแก้วในเวียดนามมูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท จากที่กำหนดไว้ในปีนี้ หลังจากที่พันธมิตรขอชะลอออกไปก่อนจากผลกระทบปัญหาเศรษฐกิจในระดับโลก โดยคาดว่าในปีหน้าอาจจะนำกลับมาทบทวนดูอีกครั้ง ขณะที่บริษัทได้หันมาขยายช่องทางจัดจำหน่ายในภูมิภาค ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการมากกว่า 5 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปอย่างช้าภายในปีนี้
"การที่พันธมิตรขอชะลอการลงทุนในเวียดนามออกไป ก็ไม่เป็นไร เราก็สามารถส่งออกขวดแก้วจากไทยไปแทนได้ ซึ่งถือว่าเป็นการ save ในช่วงสถานการณ์อย่างนี้ รวมถึงการลงทุนในปีนี้คงไม่เห็นการลงทุนอะไรเยอะแยะ ส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงเครื่องจักรมากกว่า"นายอัศวิน กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับลดเงินลงทุนในปีนี้ลงเหลือ 850 ล้านบาท จากที่เคยใช้เงินลงทุน 1,966 ล้านบาทในปี 51 หลังเห็นคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทยเติบโต 0-2% พร้อมกับวางแผนเพิ่มสัดส่วนการส่งออกสินค้าเป็น 10% ภายในสิ้นปีนี้ จากปีก่อนมีสัดส่วนส่งออกเพียง 3% โดยจะขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ ๆ ทั้งตะวันออกกลาง และแอฟริกา ส่วนตลาดในเวียดนามยังเติบโตได้ดี
ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตในไทย 2.4 พันตัน ส่วนกำลังการผลิตที่เวียดนามอยู่ 200 ตัน
นายอัศวิน กล่าวว่า บริษัทจะพยายามรักษาเงินสดเพิ่มขึ้นโดยพยายามลดจำนวนวันสต็อกสินค้า และปรับปรุงคุณภาพสินค้า และเพิ่มมูลค่าสินค้า แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีวงเงินกู้จากธนาคารอยู่ราว 7 พันล้านบาท และมีเงินสด 3 พันล้านบาท รวมทั้ง มีหุ้นเพิ่มทุนที่พร้อมนำออกมาเสนอขาย
และที่ผ่านมาราคาวัตถุดิบลดลงตามราคาน้ำมันได้มีลูกค้าพยายามเจรจาปรับลดราคาสินค้าแต่บริษัทไม่สามารถปรับลดได้ แต่จะให้ส่วนลดแทน