นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู(BANPU)กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะออกหุ้นกู้ในวงเงินประมาณ 6-7 พันล้านบาทสำหรับจำหน่ายในตลาดในประเทศในไตรมาส 2/52 โดยจะนำเงินทุนที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวไปใช้สำหรับจ่ายคืนหนี้ของบริษัทฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อทำให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทดีขึ้น เนื่องจากจะช่วยลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% ขึ้นไป
“หุ้นกู้ที่จะออกในครั้งนี้จะขายให้แก่ประชาชนทั่วไปด้วย ส่วนอายุของหุ้นกู้ และวันไถ่ถอนรวมทั้งดอกเบี้ยยังไม่ได้ข้อสรุป"นายชนินท์ กล่าว
ในปีนี้ BANPU ได้เตรียมงบลงทุนประมาณ 208 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับใช้พัฒนาแหล่งสินทรัพย์ของบริษัทฯ ในประเทศอินโดนีเซียและประเทศจีน โดยเน้นการพัฒนาแหล่งถ่านหินเดิมของบริษัท
สำหรับเงินลงทุนในประเทศอินโดนีเซียมีจำนวน 126 ล้านเหรียญสหรัฐ ใช้ขยายท่าเรือบอนตัง การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่เหมืองบารินโต การติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์การทำเหมืองที่เหมืองอินโดมินโคส่วนตะวันออก รวมทั้งการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินระยะสุดท้ายที่ท่าเรือบอนตัง
ตลอดจนการพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น การพัฒนาเหมืองใต้ดินและการปรับกระบวนการผลิตถ่านหินโดยใช้ระบบไฟฟ้าแทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมืองอินโดมินโค การติดตั้งเครื่องบดถ่านหินเคลื่อนที่และโรงล้างถ่านหินที่เหมืองทรูบาอินโด และการจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์การทำเหมืองเพื่อขยายการดำเนินการของเหมืองตันดุงมายัง เป็นต้น
ส่วนงบลงทุนในประเทศจีนจำนวน 82 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น จะใช้สำหรับการก่อสร้างเหมืองเกาเหอ ที่มณฑลซานซี
นายชนินท์ กล่าวว่า บริษัทจะไม่เร่งซื้อกิจการในจีนระยะต่อจากนี้ แต่จะขยายงานมากขึ้นในอินโดนีเซีย เพราะเป็นกิจการที่ไม่มีหนี้และมีทีมงานพร้อม นอกจากนั้น บริษัทยังมองโอกาสในการขยายธุรกิจทั้งในอินเดียและออสเตรเลีย โดยมองว่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงก็มีโอกาสมากขึ้น ส่วนจะเห็นเมื่อไหร่ขนาดเท่าใด ยังบอกไม่ได้ แต่คาดว่าปีนี้เริ่มเห็นความคืบหน้าออกมาบ้าง
ด้านผลประกอบการของ BANPU ในปีนี้คาดว่าจะมียอดจำหน่ายถ่านหิน 20.5 ล้านตัน เฉพาะถ่านในอินโดนีเซียไม่นับรวมที่ผลิตได้จากเหมืองในจีน ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 72 ดอลลาร์สหรัฐ/ตันใกล้เคียงปีก่อน โดยบริษัททำสัญญาขายล่วงหน้าไว้แล้ว85% ในจำนวนนี้ 57% ตกลงราคาที่ 72 ดอลลาร์ และ อีก 14% ยังไม่กำหนดราคา คาดว่าจะกำหนดราคาได้ใน เม.ย.นี้ ส่วนที่เหลืออีก 14% ขึ้นอยู่กับราคา Spot ที่เคลื่อนไหวตามดัชนีราคาถ่านหิน
นายชนินท์ คาดว่า ยอดขายของบริษัทในปีนี้น่าจะเติบโตกว่า 10-12% ของยอดขายปีก่อน โดยยอดขายในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ยังเป็นไปตามเป้า ส่วนแนวโน้มความต้องการถ่านหินจะเป็นอย่างไรยังต้องประเมินจากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจ แต่ตั้งแต่เดือน ต.ค.51 ถึงปัจจุบันอุปสงค์ยังถือว่าดี
แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ราคา BJI Spot อยู่ที่ 63 ดอลลาร์/ตัน ลดลงประมาณ 5 ดอลลาร์จากสัปดาห์ก่อนหน้า จะเห็นว่าราคาถ่านหินเริ่มถูกกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจด้วย โดยปัจจัยที่มีผลกระทบในทางลบต่อราคาถ่านหินมาจากอุตสาหกรรมเหล็กหดตัวลงมาก
สถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ ทำให้บริษัทต้องมีการทบทวนแผนธุรกิจ 5 ปี เนื่องจากตัวแปรต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้โอกาสทางธุรกิจเปลี่ยนไปด้วย โดยในปีนี้บริษัทคงไม่เน้นลงทุนใหม่ ๆ แต่จะดำเนินโครงการต่อเนื่องจากเดิม และอาจจะพิจารณาชะลอโครงการที่ไม่จำเป็น หรือหากประเมินว่าลงทุนแล้วยังไม่เห็นผลชัดเจน และยังคงนโยบายที่จะผสมในส่วนของรายได้ที่แน่นอน คือธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งไม่ผันแปรตามราคาน้ำมัน
ส่วนโครงการหงสาคาดว่าจะเลื่อนการผลิตออกไปอีก 2 ปี จากเดิมกำหนดไว้ในปี 56 ไปเป็นปี 58 คาดว่าจะสามารถสรุปราคาค่าก่อสร้างได้ในเร็วๆ นี้ และจะสรุปการเจรจาราคากระแสไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ได้ในเร็วๆ นี้เช่นกัน คาดว่าคงไม่เกินปีนี้