ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (6 มี.ค.) หลังจากที่เคลื่อนตัวผันผวนระหว่างวัน ซึ่งปัจจัยหนึ่งมาจากการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานและอัตราว่างงานที่อ่อนแออย่างมาก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 32.50 จุด หรือ 0.5% แตะที่ 6,626.94 จุด หลังจากที่ดิ่งลง 281.40 จุด ปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 0.83 จุด หรือ 0.12% แตะที่ 683.38 จุด และดัชนี Nasdaq ซึ่งร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1,300 จุดเป็นครั้งแรกในรอบหกปีเมื่อวันพฤหัสบดี ปิดลบลงอีก 5.74 จุด หรือ 0.44% แตะที่ 1,293.85 จุด
ทั้งนี้ หุ้นดีดตัวคึกคักในการซื้อขายช่วงเช้า โดยดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นมากกว่า 160 จุด แม้จะมีการเปิดเผยข้อมูลจ้างงานที่อ่อนแอก่อนเปิดตลาดก็ตาม
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยอัตราว่างงานเดือนก.พ.ที่ทะยานขึ้นสู่ระดับ 8.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 25 ปี ขณะที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (non farm payroll) ร่วงลง 651,000 ตำแหน่ง แต่นักลงทุนค่อนข้างเฉยกับตัวเลขเศรษฐกิจอันเลวร้าย จึงทำให้พวกเขาเลือกที่จะเข้าซื้อเมื่อเปิดตลาด แต่ในช่วงสาย หุ้นกลับเคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทาง และส่งให้ดาวโจนส์ร่วงสู่แดนลบ โดยหล่นลงไปมากกว่า 120 จุด แตะดับต่ำสุดครั้งใหม่ในรอบ 12 ปีที่ราว 6,470 จุดเป็นช่วงสั้นๆ เนื่องจากนักลงทุนเริ่มฉุกคิดว่าตลาดแรงงานกำลังมีสภาพเลวร้ายและรุนแรงอย่างมาก
อย่างไรก็ดี หุ้นกลับสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้งจนปิดตลาด โดยได้รับปัจจัยหนุนจากแรงซื้อเก็งกำไร
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเศรษฐกิจและระบบการเงินทำให้นักลงทุนลังเลที่จะเข้ามาในตลาด โดยข่าวเชิงลบต่างๆในภาคการธนาคารก็ยังคงมีออกมาอยู่อย่างต่อเนื่อง และความกังวลเกี่ยวกับความอยู่รอดของจีเอ็มก็ได้เพิ่มบรรยากาศอึมครึมในตลาด และส่งผลให้หุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่มการเงินร่วงลง เจพีมอร์แกนร่วง 67 เซนต์ แบงก์ ออฟ อเมริกา ลดลง 3 เซนต์ โกลด์แมน แซคส์ ร่วง 6.07 ดอลลาร์ และมอร์แกน สแตนลีย์ ลดลง 80 เซนต์
ด้านหุ้นจีเอ็มยังคงร่วงลงอย่างไร้แรงต้าน จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าบริษัทอาจถูกกดดันให้ยื่นขอล้มละลาย โดยคณะทำงานภาคยานยนต์ของประธานาธิบดีโอบามาได้ประชุมร่วมกับผู้ถือหุ้นของจีเอ็มอีกครั้งเมื่อวานนี้
จีเอ็มดิ่ง 41 เซนต์ หรือ 22% แตะ 1.45 ดอลลาร์