ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (9 มี.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคการเงินสหรัฐ และหลังจากมีข่าวว่าบริษัท เมิร์ค ประกาศเทคโอเวอร์บริษัท เชอริ่ง-พลาว มูลค่า 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 79.89 จุด หรือ 1.21% แตะที่ 6,547.05 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 6.85 จุด หรือ 1.00% แตะที่ 676.53 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดร่วง 25.21 จุด หรือ 1.95% แตะ 1,268.64 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.56 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 5 ต่อ 2 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.07 พันล้านหุ้น
ควินซี ครอสบี นักวิเคราะห์จาก The Hartford กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวนนับตั้งแต่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราว่างงานในสหรัฐพุ่งขึ้นแตะ 8.1% ในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 25 ปี ขณะที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรร่วงลง 651,000 ตำแหน่ง โดยอัตราว่างงานเดือนก.พ.ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ที่เคยพุ่งสูงถึง 8.3% ในเดือนธ.ค.2526
หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ดิ่งลงอย่างหนักและเป็นปัจจัยลบที่ฉุดดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงมากที่สุด หลังจาก เมิร์ค แอนด์ โค อิงค์ (Merck & Co., Inc.) และ เชอริ่งพลาว คอร์ป (Schering-Plough Corporation) สองบริษัทยายักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ประกาศเมื่อวานนี้ว่า บอร์ดบริหารของบริษัทมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทั้งสองบริษัทควบรวมกิจการกันภายใต้ชื่อบริษัท เมิร์ค
โดยข้อตกลงซื้อขายกิจการเป็นเงินสดและหุ้นรวมมูลค่า 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ระบุว่า ผู้ถือหุ้นของเชอริ่งพลาวจะได้รับหุ้นจำนวน 0.5767 หุ้น และเงินสดมูลค่า 10.50 ดอลลาร์ต่อหุ้นเชอริ่งพลาวหนึ่งหุ้น ส่วนหุ้นของเมิร์คจะกลายเป็นหุ้นของบริษัทที่ควบรวมกันใหม่โดยอัตโมติ และริชาร์ด ที. คลาร์ก ประธานและซีอีโอของเมิร์ค จะเป็นผู้นำบริษัทเมิร์คต่อไปภายหลังเสร็จสิ้นการควบรวมกัน
ทั้งนี้ หุ้นเมิร์คร่วง 7.7% หุ้นจอห์นสันปิดลบ 2.9% และหุ้นไฟเซอร์รูดลง 0.8% อย่างไรก็ตาม หุ้นเชอริ่ง-พลาว ปิดพุ่ง 14.2% หุ้นเจเนนเทค ดีดขึ้น 2% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า เจเนนเทคใกล้บรรลุข้อตกลงขายหุ้นให้กับบริษัท โรช ของสวิสเซอร์แลนด มูลค่า 95 ดอลลาร์/หุ้น
ส่วนหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นหลังจากมีข่าวว่าแบงค์ ออฟ อเมริกา คอร์ป จะระดมทุนในภาคเอกชน โดยหุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกาดีดขึ้น 19.4% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 15.8%
ตลาดได้รับแรงกดดันจากการที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ เจ้าของบริษัทเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ อิงค์ แสดงความคิดเห็นผ่านทางสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า "เศรษฐกิจสหรัฐทรุดหนักเกินจะเยียวยาในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายหลังจากตัวเลขว่างงานพุ่งขึ้นรุนแรง"
ก่อนหน้านี้บัฟเฟตต์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐ จะตกอยู่ในภาวะ "ระส่ำระสาย" ตลอดทั้งปีนี้ เนื่องจากสถาบันการเงินขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งเป็นผลมาจากการปล่อยเงินกู้แบบขาดวินัยในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟู
การแสดงความคิดเห็นของบัฟเฟตต์มีขึ้นหลังจากกระทรวพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2551 หดตัวลง 6.2%ต่อปี ซึ่งเป็นสถิติที่หดตัวรุนแรงสุดในรอบ 27 ปี และมากกว่าที่ประเมินไว้ในเบื้องต้นว่าจะหดตัวเพียง 3.8% เนื่องจากการทรุดตัวลงของยอดส่งออก, ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค และการลงทุนในภาคเอกชน
หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ทะยานขึ้น 5% หลังจากโฆษกของจีอีแถลงว่าบริษัท จีอี แคปิตอล ซึ่งเป็นบริษัทด้านการเงินในเครือจีอี เตรียมขายตราสารหนี้ภายใต้โครงการเสริมสภาพคล่องของรัฐบาลสหรัฐ