เครือเจมาร์ทตั้งเป้าปีนี้ขยายพอร์ตบริหารสินเชื่อรับวิกฤติเป็น 4.5 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 10, 2009 15:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานกรรมการ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซส จำกัด ในเครือ บมจ.เจ มาร์ท เปิดเผยแผนการรุกธุรกิจในปี 52 ว่า บริษัทเตรียมแผนรุกขยายธุรกิจ โดยตั้งเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าหนี้ที่ติดตามคงเหลือให้เป็น 4,500 ล้านบาทในปี 52 และเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านบาทภายในปี 53 ส่งผลให้ เจ เอ็ม ที ถือครองพอร์ตสินเชื่อจากการขายหนี้ของสถาบันต่าง ๆ ในประเภท Retail & Consumer Loan มากที่สุด

จากปี 49 เจ เอ็ม ที ได้เริ่มขยายธุรกิจสู่การซื้อบัญชีลูกหนี้เข้ามาบริหารเอง และด้วยจุดแข็งที่อยู่ในเครือเจ มาร์ท ที่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งมั่นคง จึงมีศักยภาพสูงในการประมูลและรับซื้อหนี้ประเภทต่าง ๆ จากสถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทมองเห็นโอกาสที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์เศรษฐกิจตั้งแต่ปี 51 ที่เริ่มเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐ และส่งผลกระทบไปทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ทำให้อัตราว่างงานขยายตัวมากขึ้น ส่งผลให้หนี้เสียของกลุ่ม Bank และ Non-Bank มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น เห็นได้จากปริมาณติดตามหนี้คงค้างที่ได้รับจากลูกค้ารายเดิมเพิ่มมากขึ้น

ประกอบกับสถาบันการเงินหลาย ๆ สถาบันที่ไม่เคยขายหนี้มาก่อน เริ่มทยอยขายหนี้ออกมามากขึ้นซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถคืนเงินกลับเข้าสู่ระบบสถาบันการเงินได้เร็วที่สุดวิธีหนึ่ง

ปัจจัยที่เกิดขึ้นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 52 เป็นต้นไป การขายหนี้ NPL ประเภท Personal Loan, Hire Purchase, Credit Card และประเภทอื่น ๆ จะมีมากขึ้น การซื้อขายหนี้มาบริหารเอง จึงเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญต่อระบบสถาบันการเงินไทยที่มีขนาดเติบโตอย่างรวดเร็ว

เจ เอ็ม ที จึงได้ลงทุนในการซื้อหนี้พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อส่วนบุคคล มาจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ด้วยมูลค่าหนี้ติดตามคงเหลือที่ 1,000 ล้านบาท และได้ทำการลงทุนประมูลซื้อเพิ่มเติมจากสถาบันการเงินแห่งอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินจากภายในประเทศ และสถาบันการเงินที่เป็นสาขาจากต่างประเทศ จนปัจจุบันมีมูลค่าหนี้ที่ติดตามคงเหลือมากกว่า 2,000 ล้านบาท จากพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ, สินเชื่อส่วนบุคคล, สินเชื่อเงินกู้ และบัตรเครดิต

นายปิยะ พงษ์อัชฌา ผู้อำนวยการบริหารสายการตลาด กล่าวต่อว่า เจ เอ็ม ที ยังมีแผนขยายการรับซื้อหนี้ไปสู่ธุรกิจ เช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อที่อยู่อาศัย จากสถาบันการเงินต่าง ๆ

“เจ เอ็ม ที มีจุดแข็งเรื่องของดาต้าเบสทำให้เข้าใจลูกหนี้ในเชิงลึก ประกอบกับกลยุทธ์การประนอมหนี้ที่บริษัทนำมาใช้ ทำให้สามารถเรียกเก็บหนี้ได้อย่างต่อเนื่องและไม่เคยเกิดปัญหาในการติดตามหนี้สิน เนื่องจาก เจเอ็ม ที ปฏิบัติตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยมาโดยตลอด ส่งผลให้ เจ เอ็ม ที เป็นบริษัทมีความน่าเชื่อถือที่สุดในธุรกิจติดตามหนี้สินของประเทศไทย"

นายปิยะ เผยเพิ่มเติ่มว่า การรุกขยายธุรกิจของ เจ เอ็ม ที ในปีนี้สวนกระแสเศรษฐกิจจากธุรกิจอื่นที่มีการปลดพนักงานด้วยประกาศรับพนักงานใหม่เพิ่มขึ้นอีกจำนวนมากถึง 200 อัตรา ทั้งในส่วนเจ้าหน้าที่ธุรการ, เจ้าหน้าที่เร่งรัดหนี้สิน, เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย, ทนายความ และพนักงานบังคับคดี เพื่อรองรับกับการขยายตัวทางธุรกิจจากปัจจุบันที่มีพนักงานทั้งสิ้น 400 อัตรา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ