นายวุฒิชัย ลีนะบรรจง ประธานเจ้าน้าที่บริหาร บมจ.อีสเทิร์นไวร์(EWC)เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมงบลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อลงทุนธุรกิจใหม่ภายในปีนี้ เพื่อเน้นการต่อยอดจากธุรกิจเดิมและธุรกิจที่ใช้ความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรม อย่างไรก็ตาม การลงทุนคงขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจด้วยว่าจะเอื้ออำนวยขนาดไหน โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทที่มีอยู่ราว 160 ล้านบาท และที่เหลืออาจใช้เงินกู้จากสถาบันการเงิน
"ธุรกิจใหม่ ยัง Focus ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ผมศึกษารูปแบบการลงทุน เพราะ อีสเทิร์นไวร์ เป็นบริษัทโฮลดิ้ง เราต้องการลงทุนไปเรื่อยๆ เพื่อต้องการเป็นธุรกิจครบวงจร ที่อยากทำเพิ่มเช่น เสาเข็ม พื้นสำเร็จรูป...ผมตั้งใจจะพยายามฝ่าวิกฤต ต่อไปเราจะโตก้าวกระโดด" นายวุฒิชัย กล่าว
นายวุฒิชัย กล่าววา บริษัทมีเป้าหมายจะรุกธุรกิจวัสดุก่อสร้างให้ครบวงจร โดยจะศึกษาหลากหลายรูปแบบในการขยายธุรกิจ ทั้งการเทคโอเวอร์ หรือ ร่วมทุน หรือ อาจจะเป็นพันธมิตรทางการค้า โดยขณะนี้บริษัทได้ติดต่อเจรจากับพันธมิตรอยู่ราว 2-3 ราย ซึ่งมองว่ามีโอกาสที่จะเห็นดีลสำเร็จ
บริษัทแบ่งเงินลงทุนสำหรับธุรกิจวัสดุก่อสร้างครบวงจร 200 ล้านบาท, จำนวน 250 ล้านบาทขยายงานด้านการบริหารจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม และ อีก 50 ล้านบาทใช้ลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดนี้คาดว่ามีโอกาสลงทุนในปีนี้ อย่างไรก็ตาม การศึกษาการลงทุนต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ
ส่วนด้านการตลาดและการขายในปีนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะถดถอย แต่บริษัทได้ปรับทีมงานและกลยุทธ์เพื่อรองรับงานก่อสร้างในส่วนของภาครัฐ เพื่อรักษารายได้ รวมทั้งรักษาสภาพคล่องของบริษัท
สำหรับผลขาดทุนสะสมของบริษัทที่มีอยู่กว่า 300 ล้านบาท นายวุฒิชัย กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างหาวิธีแก้ไขให้หมดภายในปีนี้ อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธว่าบริษัทมีแผนแตกพาร์
*ปี 52 รายได้-กำไรโตต่อเนื่อง
ด้านนายต่อศักดิ์ โชติมงคล ประธานกรรมการบริหาร EWC คาดว่า ในปี 52 รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 2,250 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนที่มีรายได้ 2,107 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะเติบโตประมาณ 10% จากปีก่อนที่มีกำไร 216 ล้านบาท โดยอัตรากำไรสุทธิ(Net Profit Margin)คาดว่าจะมากกว่า 10% ในปีก่อน เนื่องจากบริษัทจะลดต้นทุนการผลิตและการบริหาร
ทั้งนี้ รายได้บริษัทมาจาก 3 บริษัทย่อย โดยรายได้หลักมาจาก บริษัท ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ จำกัด(RWI) ซึ่งเป็นผู้ผลิตลวดเหล็กแรงดึงสูงต่าง ๆ (ถือ 99.99%) คาดว่าปีนี้จะมีรายได้อย่างน้อย 700 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกยอดขายตกตามภาวะตลาด การใช้กำลังการผลิตลดลงไปครึ่งหนึ่ง จากที่มีกำลังการผลิต 36,000 ตันต่อปี แต่คาดหวังในครึ่งหลังของปีนี้จะมียอดขายเข้ามาตามโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งพยายามขายทั้งโครงการ
นอกจากนั้น บมจ.เอื้อวิทยา(UWC) (EWC ถือหุ้น 90.98%) ซึ่งเป็นผู้ผลิตโครงเหล็กสังกะสีสำหรับเสาสายไฟฟ้าแรงสูง มีลูกค้าหลักคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)คาดว่าปีนี้จะมีรายได้กว่า 1 พันล้านบาท เติบโต 70-80%จากปีก่อน โดยจะรับรู้งานในมือ(backlog)ที่มีอยู่กว่า 600 ล้านบาท และรับรู้จากงานประมูลใหม่ ซึ่งคาดว่าปีนี้ กฟผ.จะประมูลงานใหม่ราว 2-3 หมื่นล้านบาท
และบริษัท เอ็นเนซอล จำกัด(ENS) ซึ่ง EWC ถืออยู่ 80.08% ดำเนินธุรกิจด้านการบริหารจัดการพลังงาน ปัจจุบันดำเนินการด้านโรงไฟฟ้าประเภทผลิตร่วม 2 วงจร เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดต่างๆ โครงการแรกคือ โครงการลง่ทุนผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าและพลังงานความร้อนแก่บริษัท เดอะสยาม เซรามิก กรุ๊ป อินดัสทรีส จำกัด ซึ่งบริษัทในเครือบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) ในจ.สระบุรี
ปีนี้ ENS คาดว่าจะมีรายได้ 400 ล่านบาท โดยขณะนี้บริษัทมีรายชื่อบริษัททีมีความต้องการเปลี่ยนระบบการจัดการพลังงาน อยู่ประมาณ 20 ราย ในจ.สระบุรี โดยแผนงานคาดว่าจะได้อย่างน้อย 2 ราย ซึ่งจะใช้เงินลงทุน 250 ล้านบาท แม้ว่าในภาวะอุตสาหกรรมมีกำลังการผลิตลดลง แต่การเปลี่ยนระบบดังกล่าวมีส่วนช่วยให้อุตสาหกรรมประหยัดพลังงานได้ราว 10%
อย่างไรก็ดี นายวุฒิชัย กล่าวว่า บริษัทได้ชะลอแผนการเข้าตลาดของทั้งบริษัท ระยองไวร์ฯ และ UWC ออกไปก่อน เพราะต้องการปรับโครงสร้างบริษัทให้แข็งแรงกว่านี้ ถึงจะมาทบทวนอีกครั้ง
อนึ่ง EWC ได้เปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารและ คณะกรรมการบริษัทใหม่ เมื่อปลายปี 51 หรือ 6 เดือนที่ผ่านมา โดยปัจจุบันนายวุฒิชัย ลีนะบรรจง ถือหุ้นใหญ่ ราวกว่า 8%