นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือเซ็นทรัล ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีก เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 52 ที่ 93,920 ล้านบาท เติบโต 10% จาก 85,380 ล้านบาท ในปี 51 ซึ่งมีการเติบโต 5.73% จากปี 50
"การที่เรามียอดขายในปี 51 โต 5.73% ถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่ง เพราะปีที่แล้วเศรษฐกิจแย่ สถานการณ์บ้านเมืองไม่ดี ซึ่งธุรกิจที่มีส่วนทำให้ยอดขายในปี 51 เติบโต คือ โรบินสัน ซึ่งมียอดขายเติบโต 10% ขณะที่กำไรโต 30% และอีกส่วนหนึ่งมาจาก Office Depot โดยเฉพาะภายหลังการรวมกิจการกับ Makro Office ส่งผลให้ยอดขายเติบโข้นถึง 87%"นายทศ กล่าว
สำหรับปีนี้การเติบโตของบริษัทจะมาจากสาขาเดิม และสาขาใหม่ที่เปิดในปีนี้ เช่น พัทยา (เปิดแล้วเมื่อ ม.ค.52), โรบินสัน ชลบุรี (เปิดพ.ค.52), โรบินสัน ขอนแก่น (เปิด ธ.ค.52) ซึ่งทั้งสองแห่ง ถือเป็นรูปแบบใหม่และเป็นต้นแบบในต่างจังหวัด นอกจากนี้จะมีการเปิดสาขา Homewok & Tops Supermarket ที่ถนนราชพฤกษ์ ประมาณเดือน มิ.ย.นี้
นายทศ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทจะใช้งบลงทุน 9.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 51 ที่ใช้งบลงทุน 4.1 พันล้านบาท โดยในจำนวน 9.2 พันล้านบาท ก้อนใหญ่คือประมาณ 5 พันล้านบาท จะใช้สำหรับเปิดสาขาใหม่ตามที่กล่าวมา, 1.3 พันล้านบาท ใช้ปรับปรุงสาขาเดิม ทั้งแบรนด์เซ็นทรัล โรบินสัน ได้แก่ เซ็นทรัลลาดพร้าว ที่ได้ทำการต่อสัญญากับการรถไฟเป็นเวลา 20 ปี โดยจะมีการปรับปรุงตกแต่งใหม่ทั้งภายนอกภายใน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2 ปี, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลบางนา, เซ็นทรัล ภูเก็ต รวมทั้งเซ็นทรัล วังบูรพาเดิม โดยใช้ชื่อใหม่ว่า "China World" เปิดบริการเมื่อ ก.พ.52, โรบินสัน ศรีราชา, โรบินสัน หาดใหญ่ โดยเฉพาะเซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล ภูเก็ต, โรบินสัน ศรีราชา จะมีการเปิดชั้นเพิ่มอีก 1 ชั้น
ทั้งนี้ หากเงินลงทุนดังกล่าวยังมีเหลือก็จะสำรองไว้สำหรับการซื้อที่ดินเก็บไว้เป็นแลนด์แบงก์รอการพัฒนาต่อไป
บริษัทคาดว่าสิ้นปี 52 บริษัทจะมีสาขาให้บริการเพิ่มเป็น 442 สาขา พื้นที่รวม 1,481,255 ตร.ม. จากปี 51 ที่มีสาขา 378 สาขา พื้นที่ 1,365,866 ตร.ม. พร้อมตั้งบลงทุนปีนี้ 9,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 51 ที่ใช้ 4,100 ล้านบาท
นอกจากนี้ได้สำรองงบประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบไอที รองรับการขยายตัวของธุรกิจในส่วนการจัดซื้อและซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น, งบ 40 ล้านบาทสำหรับบริหารจัดการด้านคลังสินค้าแห่งใหม่ที่ถนนบางนา-ตราด, งบ 530 ล้านบาท สำหรับจัดสรรให้ บมจ. ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBINS) ใช้ดำเนินการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์คืน
ด้านแผนการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ซึ่งปัจจุบัน ทั้ง The 1 Card และ SPOT Reward Card มีฐานสมาชิก 2 ล้านคน และ 4 ล้านคนตามลำดับ และมียอดกขายผ่านบัตร ประมาณ 80% ปีนี้ก็จะจัดงบประมาณ 5-20% ของงบการตลาดในการทำแมสมาร์เก็ตติ้งมาใช้ทำแผนไดเร็กมาร์เก็ตติ้ง เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการให้ตรงตามความต้องการ
*ตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อกำหนดนโยบายการลงทุน-ขยายธุรกิจด้วยการควบรวมหรือซื้อกิจการ
นายทศ กล่าวว่า บริษัทยังได้ตั้งหน่วยงานใหม่ เป็นหน่วยงาน M&A มีนโยบายจัดหาธุรกิจที่น่าสนใจในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก เพื่อที่เซ็นทรัลจะเข้าซื้อหรือเข้าลงทุนเพื่อต่อยอดขายและรายได้ให้เติบโตอีกปีละ 3-4% โดยวางงบลงทุนปีละประมาณ 3 พันล้านบาท ขณะนี้มีที่เจรจาอยู่ 4-5 แห่ง ซึ่งทั้งหมดก็ต้องขึ้นอยู่กับบอร์ด CRC เป็นคนตัดสินใจ
"เราหวังว่าธุรกิจ M&A จะสร้างยอดขายและรายได้ให้เติบโตขึ้นอีกปีละ 3-4% นอกเหนือจากยอดขายปกติ....เราไม่เน้นว่าต้องถูก แต่ถ้าคุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผลก็จะเข้าลงทุน ตอนนี้ก็เจรจาอยู่ 4-5 ราย ส่วนใหญ่เป็นการเจรจาผ่านแบงก์ แต่ที่กำลังคุยไม่ได้มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องแต่อย่างใด..จริงๆ ธุรกิจ M&A ในต่างประเทศทำกันมานานแล้ว แต่หลังๆ บริษัทใหญ่ๆ ในประเทศเริ่มสนใจ M&A กันมากขึ้น เพราะการจะโตด้วยตัวเองมันไม่พอ มันจะทำให้เราเติบโตได้จากหลายทาง เช่นกับที่เราควบรวม Office Depot กับ Makro Office เข้าไว้ด้วยกัน และทำให้ยอดขายเติบโตสูงถึง 87% ซึ่งจากนี้ไปแผนก M&A จะทำงานตลอด หาธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ ใช้งบเฉลี่ย 3 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งงบตรงนี้ยังไม่รวมกับงบ 9.2 พันล้านบาทที่จะใช้ในปีนี้"นายทศ กล่าว
*เปิดตัวแบรนด์"ซ่างไท่"ลุย"ค้าปลีก 2 แห่งในจีน
นายทศ กล่าวถึงธุรกิจต่างประเทศคาดว่าปีนี้จะเปิดค้าปลีกห้างสรรพสินค้าที่หังโจว ประเทศจีนได้ตามกำหนด คือ มี.ค. 53 และสาขา 2 คือที่เมืองเสิ่นหยาง เปิดต้นปี 54 งบลงทุนแห่งละ 700 ล้านบาท ใช้ชื่อห้างว่า ซ่างไท่ สำหรับสาขาที่เสิ่นหยางเป็นโครงการที่อยู่ภายในศูนย์การค้ามิกซ์ซี มีพื้นที่ 2.7 หมื่นตร.ม. จากพื้นที่รวมทั้งหมด 6 แสนตร.ม. เบื้องต้นนอกจากจะเอาตัวห้างเซ็นทรัลไปลงแล้ว ยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะเอาตัว Super Sport กับ Food Loft ไปลง
สำหรับงบลงทุนที่ใช้ในการเปิดสาขาที่จีนทั้งสองแห่ง อยู่ที่ประมาณแห่งละ 700 ล้านบาท
นายทศ กล่าวว่า ปัจจุบันสาขาที่หังโจวมีพนักงานแล้ว 30 คน และคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีพนักงานเพิ่มเป็น 80 คน
ส่วนภาพรวมทั้งองค์กร บริษํทจะสวนกระแสข่าวปลดคนงาน เลิกจ้างงาน ด้วยการประกศรับพนักงานเพิ่มอีก 1 หมื่นตำแหน่ง โดยจะเป็นการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น 3,400 ตำแหน่ง ส่วนอีก 6,500 ตำแหน่ง จะเป็นการเปิดรับสำหรับสาขาปัจจุบันที่อาจว่างลง
โดยในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา (พ.ย.51-ก.พ.52 บริษัทรับพนักงานใหม่ทั้งระดับพนักงานและระดับบริหาร รวมเกือบ 2 พันคน)