โบรกฯหนุน"ซื้อ"CK คาดลดราคาสายสีม่วงสัญญา 1 ยังมีกำไร-ปีนี้งานใหม่อื้อ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 12, 2009 15:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เชียร์"ซื้อ"หุ้นบมจ.ช.การช่าง(CK)แม้ว่าจะถูกบีบลดราคางานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 1 ลงมา แต่คาดว่าการเจรจาจะจบเร็วๆนี้ หรือภายในเดือนมี.ค.และเชื่อว่ามาร์จิ้นก็คงไม่ต่ำลงมาก และจะมีงานใหม่เข้ามาในมือปีนี้อย่างน้อย 1.7-1.8 หมื่นล้านบาท แล้วยังมีโอกาสลุ้นงานสายสีม่วงสัญญาที่ 2 และสัญญาที่ 3 ขณะเดียวกันมีงานใหญ่รออยู่ทั้งโครงการน้ำบากมูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาทและโครงการไซยะบุรีมูลค่า 9.7 หมื่นล้านบาทในปลายปี 52 ถึงต้นปี 53 ทำให้รายได้เกิดความมั่นคง

ปิดเที่ยงราคาหุ้น CK อยู่ที่ 3.14 บาท บวก 0.04 บาท (+1.29%) โดยราคาสูงสุดที่ 3.20 บาท หรือสูงสุดในรอบสัปดาห์

          โบรกเกอร์           คำแนะนำ      ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)

          บล.ยูไนเต็ด          ซื้อ            4.80
          บล.บีฟิท             ซื้อ            4.62
          บล.เอเซียพลัส        ซื้อ            4.57
          บล.กสิกรไทย         ซื้อ            4.45
          บล.เกียรตินาคิน       ซื้อ            4.25
          บล.กิมเอ็ง           ซื้ออ่อนตัว       3.92
          บล.บัวหลวง          ซื้อ            3.68

นายสุรศักดิ์ อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า CK มีแนวโน้มได้งานใหม่ปีนี้อย่างน้อย 1.7-1.8 หมื่นล้านบาท แม้ว่างานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 1 อาจจะปรับลดวงเงินก่อสร้างลงมาจากที่เสนอราคาไปก็ตาม บริษัทก็ยังได้งานนี้อยู่ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนนี้

"เรื่องข่าวต่อรองรถไฟฟ้าสายสีม่วงคิดว่าน่าจะจบเร็วๆ นี้ คิดว่ายังไงก็ต้องได้งาน เพราะงานนี้จริงๆ มีค่า K อยู่แล้ว ราคาวัสดุก่อสร้างขึ้นก็คิดตามค่าเคไปเป็นส่วนชดเชย ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา สรุปแล้วคือไม่น่าเลิกสัญญากัน เพียงแต่อยู่ที่ราคาเท่าไรเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องมาร์จิ้น บริษัทเขาก็ยังไม่เปิดเผยตัวเลขเหมือนกัน แต่คิดว่ามาร์จิ้นคงลงไม่มาก เพราะเหลือไม่กี item ที่พิจารณากัน และ ช.การช่างไม่เคยรับงานเข้าเนื้ออยู่แล้ว"นายสุรศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทจะได้รับงานใหม่แน่นอน 2 งานได้แก่ งานทางลอดจรัลสนิทวงศ์ มูลค่างาน 900 ล้านบาท และโรงไฟฟ้าเอสพีพี มูลค่างานก่อสร้าง 4 พันล้านบาท อย่างน้อยปีนี้ได้งานเข้ามาตุนอย่างน้อย 1.7-1.8 หมื่นล้านบาท

รวมทั้งโอกาสที่จะได้งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 2 และสัญญาที่ 3 อีก ซึ่งศักยภาพของบริษัทสามารถรับงานได้ทั้ง 3 สัญญา

และช่วงปลายปีนี้ก็อาจได้รับงานโครงการน้ำบากที่บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาคาดว่าจะเสร็จช่วงปลายปีนี้หรือปีหน้า ถ้าเสร็จเมื่อไรบริษัทก็ได้รับงานนี้ ซึ่งมูลค่างานโครงการนี้ 1.7 หมื่นล้านบาท และในปี 53 ก็ยังมีงานโครงการไชยะบุรีที่มีมูลค่าโครงการ 9.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีงานก่อสร้างคิดเป็นมูลค่าราว 5-6 หมื่นล้านบาท

"ไม่ต้องห่วงเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว เพราะเขาเตรียมรับงานพวกนี้เอาไว้ ซึ่งเป็น Project ที่เขา create ขึ้นมาเอง ดังนั้น ก็คิดว่าเขาจะได้แน่ๆ"นายสุรศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม แนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว เพราะเห็นว่าช่วงนี้ตลาดผันผวน คิดว่าราคาหุ้นที่ชึ้นมาบ้างแล้วจากการเก็งกำไรที่จะได้งานรถไฟฟ้าสัญญา 1

ส่วนบทวิจัยของ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ปัจจุบัน CK มีงานที่รอเซ็นสัญญาอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 18,314 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ Backlog ของ CK เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3 หมื่นล้านบาท จากเมื่อสิ้นปี 51 CK มี Backlog รวม 12,066 ล้านบาท และจะเป็นหลักประกันด้านรายได้ที่มั่นคงในปี 52

งานที่สำคัญ คือ งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 1 ที่กลุ่มกิจการร่วมค้า CKTC(CK ถือหุ้น 70%)เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด และอยู่ในระหว่างการต่อรองราคากับ รฟม.คาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ในเดือน มี.ค.52 และงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP มูลค่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจาก CK จะรับงานในฐานะผู้รับเหมาแล้ว ยังจะร่วมเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 40% โดยปัจจุบันโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้ผ่านการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแล้วและกำลังรอการอนุมัติโครงการจาก EGAT

อย่างไรก็ตาม ราคาเหล็กและน้ำมันที่ปรับลดลงมามาก ช่วยลดแรงกดดันด้านต้นทุนการก่อสร้าง โดยปัจจุบัน Backlog มี gross margin อยู่ที่ระดับ 8-10% อย่างไรก็ตาม แผนการใช้เงินในธุรกิจสัมปทานที่ค่อนข้างมากในปี 52 อาจสร้างปัญหาต่อสภาพคล่องต่อ CK เนื่องจาก CK ต้องใส่เงินลงทุนผ่านบริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี(SEAN)ในระหว่างปี 52-53 จำนวน 1 พันล้านบาท เพื่อให้โครงการเขื่อนน้ำงึมแล้วเสร็จ

ขณะที่โรงไฟฟ้า SPP นั้น CK จะใส่เงินลงทุนในปี 52 ประมาณ 300 ล้านบาท โดย ณ สิ้นปี 51 CK มี Net Gearing ค่อนข้างสูง อยู่ที่ระดับ 2.24 เท่า และมีหนี้สินระยะสั้นประมาณ 6,200 ล้านบาท เป็นหุ้นกู้และเงินกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดชำระภายในปี 52 จำนวน 3,379 ล้านบาท อาจทำให้ CK มีความจำเป็นในการเรียกเพิ่มทุนในอนาคต หากยังมีการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจสัมปทานมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะโครงการเขื่อนไซยะบุรี ซึ่งมีมูลค่าโครงการสูงถึง 9.7 หมื่นล้านบาท โดยจะเป็นส่วนของทุนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่ง CK กำลังพิจารณาถึงสัดส่วนการถือหุ้นที่เหมาะสม

ด้าน บล.บัวหลวง ปรับเพิ่มคำแนะนำสำหรับ CK จาก “ถือ”เป็น“ซื้อ”เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นได้ปรับตัวลงเปิดโอกาสในการเข้าซื้อ ความเสี่ยงในการปรับลดประมาณการลงค่อนข้างต่ำ เนื่องจากแนวโน้มราคาวัสดุก่อสร้างทรงตัว และมีแนวโน้มจากการเซ็นสัญญาใหม่ ณ ปัจจุบันมีแนวโน้มเชิงบวกมากกว่าแนวโน้มเชิงลบ ซึ่งปัจจัยผลักดันหุ้นในระยะสั้นจะมาจากการเซ็นสัญญาก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 1 ในเดือนนี้

แนวโน้มธุรกิจฟื้นตัวจากในปีก่อนที่ CK ได้เซ็นสัญญาใหม่รวมมูลค่าเพียง 3.8 พันล้านบาท โดยสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มมีเสถียรภาพนับตั้งแต่ปลายปีก่อน บริษัทจึงตั้งเป้าหมายเซ็นสัญญาโครงการใหม่มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท(เราประมาณการที่ 7 พันล้านบาท)ซึ่งไม่รวมโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง จึงคิดว่าบริษัทจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายได้ไม่ยากนัก เนื่องจากมีโครงการรอเซ็นสัญญา 2 โครงการรวมมูลค่า 4.9 พันล้านบาท

นอกจากนี้ จะปรับเพิ่มประมาณการปี 52-53 ขึ้นอีก 13% และ 46% ตามลำดับ จากการเซ็นสัญญาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนที่ 1 ทั้งนี้มูลค่าของโครงการมีแนวโน้มลดลงเป็น 1.56 หมื่นล้านบาทจากราคาเสนอที่ 1.67 หมื่นล้านบาท เนื่องจากราคาวัสดุก่อสร้างลดลง สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ที่ 6-7%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ