นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาดและงานบริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)กล่าวว่า จากภาวะการซื้อขายหุ้นในปัจจุบันที่มีหดหายเหลิอเพียงครึ่งเดียวจากปีก่อนที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1.6 หมื่นล้านบาทต่อวัน แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของมาร์เกตติ้งหรือเจ้าหน้าที่การตลาดจนถึงขั้นเลิกอาชีพนี้ไป
สิ้นปี 51 มีเจ้าหน้าที่การตลาดทั้งระบบ 5,000 คน ซึ่งมีผู้ที่ลาออกหลังภาวะซบเซาตั้งแต่ปลายปีก่อนเพียง 40 คน ทางตลาดหลักทรัพย์ก็ได้พยายามผลักดันสินค้าใหม่ๆเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและให้ความรู้ รวมถึงจูงใจ
นอกจากนี้ ทางตลาดหลักทรัพย์ได้จัดโครงการ The Star Marketing ซึ่งเป็นปีที่ 3 ในปี 52 โดยในปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งเป้าปีนี้ให้มาร์เก็ตติ้งหานักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนไม่น้อยกว่า 31,000 รายหรือมีบัญชีใหม่ 40,000 บัญชี ซึ่งตั้งเป้าจำนวนบัญชีต่ำกว่าปีก่อนที่มี 54,000 บัญชี เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นในปีนี้ไม่ดีแต่ในช่วงวิกฤตนั้นถือว่าเป็นโอกาสในการลงทุน โดยจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงนั้นทำให้ต้องหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดี
ปัจจุบันมีนักลงทุนในตลาดหุ้นอยู่จำนวน 5.4 แสนบัญชี โดยมีบัญชีที่มีการซื้อขายแบบสม่ำเสมอ (Active)ลดลงเหลือ 20% จากเดิมที่ 30% ซึ่งมีจำนวนบัญชี Actice หายไป 1 แสนบัญชีจากปัญหาวิฤตสถาบันการเงินและเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกดดันบรรยากาศการลงทุนไม่ดี ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายลดลง
ทั้งนี้ ปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งเป้าจะเพิ่มบัญชีใหม่ในการการลงทุนในตลาดหุ้นอีก 1 แสนบัญชี แบ่งเป็นเปิดบัญชีผ่านบริษัทหลักทรัพย์ 4 หมื่นบัญชี และผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 6 หมื่นบัญชี ทำให้สิ้นปีนี้มีบัญชีรวมเป็น 6.4 แสนบัญชี
"ปัจจุบันประชากรไทยลงทุนในตลาดหุ้นไทยในสัดส่วนที่น้อยเพียง 540,000 บัญชี จากประชากรทั้งหมด 60 ล้านคน ซึ่งถือว่ายังสามารถจะเพิ่มสัดส่วนประชากรให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้อีกมาก โดยจะต้องมีมาร์เกตติ้งเข้ามาช่วยในการแนะนำการลงทุนที่ดี"นางสาวโสภาวดี กล่าว