นายศักดิธัช จันทรเสรีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บมจ.กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส(KCAR) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทต่างชาติ 1 แห่งเพื่อเข้ามาร่วมกิจการ โดยพร้อมจะเปิดทางให้เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 20-40% แต่อาจยังต้องใช้เวลาอีกค่อนข้างนาน เนื่องจากภาวะปัจจุบันไม่เอื้อต่อการตกลงราคาหุ้น
"บริษัทนี้จะสามารถเข้ามาต่อยอดของบริษัทได้ แต่ ณ ช่วงเวลานี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ การขายหุ้นจะได้ราคาหุ้นไม่ดีเท่าที่ควร เชื่อว่าปีนี้คงไม่ได้ข้อสรุปควบรวมกิจการ"นายศักดิธัช กล่าว
สำหรับผลประกอบการในปี 52 บริษัทคาดว่าจะมีการเติบโตของรายได้มากกว่าอุตสาหกรรมการให้เช่าและขายรถยนต์ที่ที่คาดเติบโตประมาณ 1-5% โดยบริษัทจะมีจำนวนรถยนต์ให้เช่าใหม่มากกว่า 1,900 คัน จากในพอร์ตที่มีประมาณ 6,000 คัน และ มีอัตราการเช่ารถยนต์ 90% และปีนี้คาดว่าจะขายรถยนต์ได้มากกว่า 1,000 คัน เนื่องจากจะมีรถยนต์ที่จะครบอายุการให้เช่า และจะนำออกมาขายเป็นรถมือสองจำนวน 1,300 คัน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนซื้อรถใหม่เพื่อเช่าจำนวน 2,000 คัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 1.5 พันล้านบาท โดยแหล่งเงินประมาณ 70-80% จะมาจากเงินกู้สถาบันการเงินที่เหลือมาจากผลประกอบการของบริษัท ขณะที่เดิมบริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ แต่ตอนนี้ยกเลิกแผนออกหุ้นกู้ เพราะภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวยจึงต้องหันไปใช้เงินกู้แทน
"ปีนี้ เรามั่นใจว่ารายได้เราจะโตขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจไม่ดี เนื่องจากองค์กรต่างๆ มา outsource รถยนต์มากขึ้น มากกว่าลงทุนซื้อรถเอง เพราะต้นทุนสูง แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดว่าจะมีผลกระทบต่อตัวบริษัทหรือไม่ เพราะกลุ่มบริษัทขายรถยนต์ใหม่ก็ได้รับผลกระทบไปแล้ว"นายศักดิธัช กล่าว
สำหรับในปี 52 คาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลใกล้เคียงกับปีก่อนที่จ่าย 0.25 บาทต่อหุ้น ส่วนปัญหาสภาพคล่องการซื้อขายหุ้นมีการกระจายอยู่ในตลาด 25% และผู้ถือหุ้นถือ 75% จึงทำให้หุ้นไม่ค่อยมีการหมุนเวียน แต่หากมีข้อสรุปเรื่องพันธมิตร อาจจะทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นและอาจจะทำให้สภาพคล่องในตลาดดีขึ้น