นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน(AMATA) กล่าวยอมรับว่า ในปี 52 รายได้ของบริษัทคาดว่าจะลดลงจากปีก่อน 50% เป็นอย่างน้อย เนื่องจากในช่วงครึ่งแรกปี 52 คาดว่าจะมียอดขายที่ดินเพียง 50 ไร่ จากปีก่อนทั้งปีมียอดขาย 800 ไร่ และคาดว่ากำไรสุทธิในปี 52 ก็จะลดลงในทิศทางเดียวกัน
"ที่นิคมฯของ AMATA มีกลุ่มยานยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ใช้พื้นที่ 30-40% ของพื้นที่ทั้งหมด เมื่อเขาประกาศปรับลดกำลังการผลิตย่อมกระทบกับ AMATA เพราะรายได้จากสาธารณูปโภคก็จะหายไปด้วย"นายวิบูลย์ กล่าว
ในสัปดาห์หน้าจะมีผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ที่มีพนักงานกว่า 1,000 คนจะปิดโรงงานอีกหนึ่งแห่ง ก็จะมีผลกระทบในด้านรายได้ค่าบริการสาธารณูปโภค
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทคาดว่าสัดส่วนจากรายได้จากบริการสาธารณูปโภคเพิ่มเป็น 40% จากปีก่อนอยู่ที่ 20% เนื่องจากรายได้ส่วนนี้จะมีเข้ามาต่อเนื่อง คาดว่าปีนี้จะมีรายได้ประมาณ 300 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการขายที่ดินยังคงไม่แน่นอน โดยน่าจะมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 55-60% จากเดิมที่มีสัดส่วนประมาณ 75%
อนึ่ง ในปี 51 บริษัทมีรายได้สาธารณูปโภคอยู่ที่ 189 ล้านบาท และมีรายได้ค่าเช่าจำนวน 52 ล้านบาท
นายวิบูลย์ กล่าวว่า ปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตโดยตรง และผู้ผลิตอุตสาหกรรมต่างๆมีการปรับลดการผลิตลง ทำให้บริษัทสูญเสียรายได้ทั้งสองด้าน คือ การขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม และการให้บริการด้านสาธารณูปโภค และทำให้บริษัทจะได้รับผลกระทบถึงไตรมาส 3/52 เช่นเดียวกับภาวะเศรษฐกิจ และในไตรมาส 4/52 มีโอกาสจะเริ่มฟื้นตัวได้เล็กน้อย
"AMATA เคยประสบปัญหาเมื่อครั้งวิกฤตเศรษฐกิจในปี 40 แต่ครั้งนี้ภาคการส่งออกได้รับผลกระทบหนั้กกว่าปี 40 ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้ผลิตหรือโรงงาน"นายวิบูลย์ กล่าว
สำหรับแนวทางแก้ไขของรัฐบาลควรจะเร่งสร้างความสัมพันธ์กับประเทศญี่ปุ่นที่ยังมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ และยังเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญที่เข้ามาลงทุนในไทย เพราะในส่วน AMATA มีลูกค้าที่เป็นชาวญี่ปุ่นสัดส่วนสูงสุดถึง 62% โดยมีผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ 2 รายรวมอยู่ด้วย