ทริสลดอันดับเครดิตองค์กร RCL เป็น“BBB+",ลดอันดับเครดิตหุ้นกู้เป็น“BBB"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 24, 2009 10:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BBB+" จากระดับเดิมที่ “A-" พร้อมทั้งปรับลดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทสู่ระดับ “BBB" จากระดับเดิมที่ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์เนื่องจากปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยหลายประการอันประกอบด้วย ราคาน้ำมันที่มีความผันผวน ความต้องการในการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่ลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และอุปทานส่วนเกินของเรือที่มีจำนวนมากซึ่งจะส่งผลกระทบในทางลบต่ออัตราค่าระวางเรือในปีนี้ แม้ว่าปัจจุบันปัญหาราคาน้ำมันจะมีผลกระทบลดลง แต่ปริมาณการค้าโลกที่คาดว่าจะลดลงก็จะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของความต้องการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ และเป็นอุปสรรคต่อความสามารถของบริษัทในการเพิ่มอัตราค่าระวางเรือหรือเพิ่มอัตราผลกำไรให้กลับสู่ระดับปกติอย่างรวดเร็วได้ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงคณะผู้บริหารของบริษัทที่มีความสามารถและประสบการณ์และสถานะผู้นำในตลาดผู้ประกอบการขนส่งทางเรือระดับภูมิภาคอันเนื่องมาจากความได้เปรียบในเรื่องขนาดของกองเรือ ความถี่ในการให้บริการ และอายุเฉลี่ยของกองเรือที่ยังต่ำ

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะผู้นำตลาดที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้และปรับปรุงความความสามารถในการทำกำไรให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะบรรลุแผนการลดต้นทุนและจะบริหารจัดการต้นทุนราคาน้ำมันอย่างรอบคอบ

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทอาร์ ซี แอล ในปี 2551 ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 โดยบริษัทไม่สามารถปรับค่าน้ำมันส่วนที่เพิ่มให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้ ในขณะเดียวกัน บริษัทก็ไม่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างรวดเร็วในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 เนื่องจากบริษัทได้ทำสัญญาประกันการซื้อน้ำมันไว้ประมาณ 65% ของจำนวนน้ำมันที่ต้องการใช้สำหรับไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 และ 50% ของจำนวนน้ำมันที่ต้องการใช้สำหรับครึ่งแรกของปี 2552 ที่ราคาประมาณ 500 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมตริกตัน ดังนั้น ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างรวดเร็วจึงส่งผลให้บริษัทขาดทุนจากการทำสัญญาประกันการซื้อน้ำมันจำนวน 468 ล้านบาทในไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 บริษัทจึงต้องบันทึกค่าเผื่อผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากสัญญาประกันการซื้อน้ำมันในส่วนที่เหลือจำนวน 1,008 ล้านบาท ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเริ่มปรากฏชัดในไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 โดยที่ปริมาณการขนส่งของบริษัทเริ่มลดลง 2% ในขณะที่ปริมาณการขนส่งสินค้าในเดือนมกราคม 2552 ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำลงส่งผลกระทบต่อธุรกิจกองเรือฟีดเดอร์ (SOC Business) มากกว่าธุรกิจเรือบริการขนส่งตู้สินค้าประจำเส้นทาง (COC Business) โดยที่ปริมาณการขนส่งสินค้าของธุรกิจกองเรือฟีดเดอร์ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 ลดลง 4% และลดลง 16% ในเดือนมกราคม 2552 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในทางตรงกันข้าม ปริมาณการขนส่งสินค้าของธุรกิจเรือบริการขนส่งตู้สินค้าประจำเส้นทางในไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 เพิ่มขึ้น 1% และลดลง 6% ในเดือนมกราคม 2552 เมื่2551 ลดลง 8.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา หรือลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาของปีเดียวกัน สู่ระดับ 192 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้

เนื่องจากกำไรของบริษัทต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมและอัตราส่วนหนี้สินต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทต่ำกว่าประมาณการ อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่าย (รวมค่าเผื่อผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากสัญญาประกันการซื้อน้ำมันในส่วนที่เหลือจำนวน 1,008 ล้านบาท) ลดลงจาก 7.5 เท่าในปี 2550 สู่ระดับ 0.1 เท่าในปี 2551 ในกรณีที่ไม่รวมค่าเผื่อผลขาดทุนดังกล่าว อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายในปี 2551 จะอยู่ที่ระดับ 2.1 เท่า อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมปรับลดอย่างมากจาก 35.7% ในปี 2550 เป็นระดับ 4.6% ในปี 2551 ส่วนอัตราส่วนหนี้สินต่อโครงสร้างเงินทุน (ปรับปรุงรายการเช่าดำเนินงาน) เพิ่มขึ้นจาก 33.7% ในปี 2550 สู่ระดับ 45.6% ในปี 2551

อย่างไรก็ตาม สถานะสภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2551 บริษัทมีเงินสดจำนวน 3,437 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินอีกจำนวน 3,870 ล้านบาท แผนการลงทุนในปี 2552 จะใช้เงินจำนวน 69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 2,484 ล้านบาท ซึ่งจะนำไปใช้ในการซื้อเรือลำใหม่ขนาดบรรทุก 2,732 ตู้คอนเทนเนอร์ เงินกู้ของบริษัทที่จะครบกำหนดชำระคืนภายใน 1 ปีมีมูลค่าประมาณ 2,492 ล้านบาท เมื่อพิจารณาถึงฐานะเงินสดแล้ว บริษัทไม่น่าจะมีปัญหาสภาพคล่องในระยะใกล้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีเรือที่ไม่ติดภาระค้ำประกันอยู่จำนวน 10 ลำซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันเงินกู้ใหม่ในกรณีที่ต้องการได้ด้วย

วงเงินสินเชื่อส่วนใหญ่ของบริษัทมีการกำหนดเงื่อนไขทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับผลประกอบการทางการเงินและหนี้สิน โดยที่อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้สุทธิในไตรมาสที่ 2 ของปี 2552 อาจมีภาระดอกเบี้ยเกินกว่าที่เงื่อนไขกำหนดหากบริษัทมีผลกำไรไม่เพียงพอ

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทจะได้รับการผ่อนปรนจากเจ้าหนี้ในกรณีผลประกอบการของบริษัทผิดเงื่อนไขดังกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ