นายศุภพงศ์ กฤษณกาญจน์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ระยองเพียวริฟายเออร์ (RPC) คาดว่า ในปี 52 บริษัทจะกลับมามีกำไรตามปกติที่บริษัทเคยทำได้ 200-400 ล้านบาท โดยจะไม่มีผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน(stock loss)อย่างที่เคยเกิดขึ้นในปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันผันผวน
สำหรับราคาขายน้ำมันและผลิตภัณฑ์ของบริษัทในขณะนี้ยังไม่นิ่ง จึงทำให้บริษัทยังไม่สามารถประมาณการรายได้ในปีนี้ได้ชัดเจน แต่อย่างน้อยหากประเมินจากราคาปัจจุบันก็น่าจะได้รายได้ประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทจะทบทวนอีกครั้งภายหลังเดือน เม.ย.ที่คาดว่าราคาน้ำมันน่าจะนิ่งแล้ว
ส่วนยอดผลิตและขายเฉลี่ยทั้งปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1.1 หมื่นบาร์เรล/วันใกล้เคียงกับปีก่อน แต่อย่างไรก็ตาม เดือนก.พ.ที่ผ่านมามียอดผลิตและขายแล้ว 1.4 หมื่นบาร์เรล/วัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 1.7 หมื่นบาร์เรล/วัน
"ผมเชื่อว่า stock loss ในปีนี้ไม่น่าจะเกิด 12 ปีที่ผ่านมาเรามีกำไรตลอด เพิ่งมาปีที่แล้วที่เราขาดทุน แต่ปีนี้เราจะกลับมามีกำไรตามปกติ และคิดว่าไม่มี stock loss และภาวะตลาดน้ำมันน่าจะกลับเข้ามาสู่ปกติในไตรมาส 3 หรือ 4" นายศุภพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปีนี้ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดสิงคโปร์มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นมาที่ 70-85 เหรียญ/บาร์เรล เนื่องจากคาดว่าจะมีความต้องการจากจีนและประเทศในแถบแอฟริกาเข้ามาเพิ่มขึ้น
นายศุภพงศ์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 410 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนในการก่อสร้างศูนย์การค้าครบวงจร เพียวเพลสหน้าหมูบ้านสัมมากร ถนนรามคำแหง 110 บริหารงานภายใต้บริษัท เพียว สัมมากร ดิเวลอปเมนต์ จำกัด และจะมีการเพิ่มรถขนส่งอีก 10 คัน ของบริษัท จตุรทิศขนส่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 100 คัน รวมทั้งจะมีการขยายสถานบริการน้ำมันของบริษัทอีก 5 แห่ง เป็น 80 แห่ง ซึ่งใช้เงินประมาณ 2-3 ล้านบาท/แห่ง เท่านั้น เนื่องจากเป็นการปรับปรุงสถานีบริการเดิม
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมแผนระยะกลางในการขยายโรงกลั่นและปิโตรแห่งใหม่ มีกำลังการผลิต 3.5-5 หมื่นบาร์เรล/วัน หรือโตเป็น 3 เท่าจากปัจจุบัน รองรับความต้องการในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านในอินโดจีน และจีนตอนใต้ โดยขณะนี้บริษัทกำลังเจรจาซื้อวัตถุดิบไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบ หรือคอนเดนเสทกับสมาชิกกลุ่มโอเปค เป็นการทำสัญญาซื้อระยะยาว 25 ปีในราคาลอยตัว
"ตอนนี้เรากำลังเจรจาของซื้อ feed stock กับประเทศในกลุ่มโอเปค เราอยากให้จบเร็วเหมือนกันแต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ขาย...โรงงานนี้จะเป็นแผนระยะกลาง ซึ่งถ้าคุยจบก็ค่อยหาที่สร้างโรงงานใกล้กับทะเล คิดว่าใช้เวลาหาเงินและก่อสร้างประมาณ 2 ปี" นายศุภพงศ์ กล่าว
ด้านโครงการไบโอดีเซล ในเดือนม.ค. 52 บริษัทได้เริ่มผลิตไบโอดีเซล โดยปีนี้ตั้งเป้ามีกำลังการผลิตครึ่งหนึ่งของ 3 แสนลิตร/วัน ลูกค้าหลัก คือ โรงกลั่นน้ำมัน ขณะที่บริษัทในเครือ เช่น เพียว พลังงานไทย ได้เปิดตัวขายน้ำมันเพียว บี 5 ครบทุกปั๊มที่ปัจจุบันมี 75 แห่ง คาดว่าปีนี้จะทำไรได้ 7 ล้านบาท
ส่วนบริษัท จตุรทิศ ขนส่ง ในปีนี้จะมีการขยายการขนส่งอีก 10 คัน หรือเพิ่มขึ้นอีก 3-4 แสนลิตร/วัน จากปัจจุบัน 2.2 ล้านลิตร/วัน ทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น
นายศุภพงศ์ ยังกล่าวถึงโครงการเพียว สัมมากร รามคำแหง ที่กำลังจะก่อสร้างในเม.ย.52 และเปิดให้บริการได้ในปลายปี 53 ว่า ขณะนี้มีลูกค้าเป้าหมายที่แน่นอนแล้ว และถือว่าเป็นทำเลที่ดี มีผู้จองพื้นที่เข้ามาเกินความต้องการแล้ว คาดว่าจะเริ่มทำกำไรในปี 54 ขณะที่โครงการเพียวเพลส รังสิต คลอง 2 ตอนนี้เริ่มทยอยมีอัตรการเช่าดีขึ้นมาอยู่ที่ 92-100% แล้ว
"ทุกบริษัทในเครือต้องดูแลตัวเองได้ ช่วงแรกเราอาจประคบประหงม หลังจากนั้นจะปล่อยให้เติบโตด้วยตัวเอง"นายศุภพงศ์ กล่าว
กรณีประเด็นเรื่องคำสั่งศาลปกครองระยองกำหนดให้มาบตาพุดเป็นพื้นที่ควบคุมมลพิษนั้น บริษัทไม่มีความกังวลเพราะได้เตรียมเครื่องบำบัดน้ำเสียคุณภาพสูงซึ่งเป็นเทคโนโลยีสูงที่พัฒนาขึ้นเองไว้รองรับอยู่แล้ว