โบรกฯ แนะ"ซื้อ"IRP กำไรปกติยังโตได้ในปี 52 กำลังผลิตเพิ่ม-ต้นทุนลดลง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 25, 2009 10:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกแนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.อินโดรามา โพลีเมอร์ส(IRP)แม้กำไรสุทธิอาจลดลงจากปีก่อน แต่กำไรจากการดำเนินงานปกติสูงขึ้นตามกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มเข้ามาจากโรงงานที่เข้าซื้อไว้ในยุโรปและโรงงานใหม่ในสหรัฐ ขณะที่ปี 50 รายได้ส่วนหนึ่งมาจากรายการพิเศษ รวมทั้งในแง่มาร์จิ้นก็น่าจะดีขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง โบรกฯบางรายยังคาด IRP ปีนี้น่าจะเติบโตได้มากกว่าตลาด โดยเฉพาะจากความต้องการ PET ที่ยังขยายตัวภายใต้วิกฤติเศรษฐกิจ

          โบรกฯ                    คำแนะนำ              ราคาเป้าหมาย
          บล.บีฟืท                     ซื้อ                    8.4
          บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส           ซื้อ                    6.7
          บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)        ซื้อ                    6.8
          สถาบันวิจัยนครหลวงไทย         ซื้อ                    6.4

นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท คาดว่า ในปีนี้ IRP จะมีกำไรสุทธิลดลงจากปี 51 เนื่องจากในปีก่อนมีรายการอื่นเข้ามา ซึ่งหากไม่นับรวมรายการดังกล่าว IRP ก็จะมีกำไรปกติดีขึ้น เพราะในแง่ของกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เป็นผลจากการเข้าซื้อโรงงาน 2 แห่งในยุโรปเมื่อปีที่แล้ว และปีนี้ก็จะมีโรงงานแห่งใหม่ในสหรัฐที่จะมีผลผลิตเพิ่มเข้ามาในไตรมาส 2/52

ด้านราคาขายอาจจะไม่ได้ดีนักในปีนี้ แต่ในแง่ของอัตรากำไร(มาร์จิ้น)อาจจะดีกว่าปีก่อน เพราะต้นทุนวัตถุดิบที่เป็นพวกปิโตรเคมีปรับตัวลดลง ส่วนความต้องการสินค้ายังมีอยู่ แม้ว่าจะไม่ดีมากเท่าในอดีต เป็นผลจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจเป็นตัวกดดันอยู่ แต่ก็ยังเชื่อว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ PET ทั่วโลกคงจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หรืออย่างน้อยที่สุดก็อาจทรงตัว แต่ไม่น่าจะลดลง

"ในเชิงพื้นฐานยังแนะนำซื้อได้อยู่ แต่ตอนที่แนะนำราคาอยู่ที่ 4 บาทกว่า ตอนนี้ขึ้นมา 5 บาทถ้ามีการฟื้นตัวก็ยังเล่นได้ในด้านพื้นฐาน แต่ในด้านภาพรวมตลาดก็ต้องมองประกอบกันไป"นายอนุพนธ์ กล่าว

ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)มองว่าปีนี้ IRP ยังมี earning growth ที่ดี โรงงานใหม่ก็กำลังจะเสร็จแล้วจะทำให้มีวอลุ่มเพิ่มเข้ามา และในตัวธุรกิจ PET เองมาร์จิ้นก็น่าจะยังยืนได้ เพราะไม่มี capacity ใหม่เข้ามามากนัก

สำหรับความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เนื่องจากเป็นของที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป ถ้าเศรษฐกิจชะลอลงก็คงชะลอลงตามบ้าง แต่คงไม่ได้หายไปมากนัก ที่สำคัญที่ต่างจากกลุ่มเคมีอื่นๆ คือในตลาดไม่ได้มี capacity ใหม่เข้ามามากนัก เพราะฉะนั้นแรงกดดันจากซัพพลายก็น้อยกว่า ตัวนี้น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญ

นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่มองไตรมาส 1/52 น่าจะพลิกกลับมาเติบโตได้ค่อนข้างดีโดยรวมแม้ว่าตลาด PET ปีนี้คาดว่าจะชะลอตัวลงจากปกติการใช้ PET จะโตประมาณ 2 เท่าของอัตราเติบโตของจีดีพี โดยปีนี้มองว่าจีดีพีติดลบ ล่าสุด ทางเทครอนเป็น market forecast มองว่าความต้องการ PET น่าจะยังเติบโตได้ประมาณ 3%

เราก็มองว่าถ้าโดยรวมโต 3% แต่ IRP น่าจะโตได้มากกว่านี้ เพราะบริษัทมีการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งปีหลังจะมีกำลังการผลิตในสหรัฐเข้ามาอีก 432,000 ตันเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตเดิม 45% จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตรวมเป็น 1.4 ล้านตัน โดยรวมแล้วโรงงานของ IRP ค่อนข้างใหม่ ซึ่งในช่วงที่เศรษฐกิจแบบนี้อาจจะมีโรงงานบางแห่ง โดยเฉพาะโรงงานที่มีต้นทุนสูงจะปิดตัวไป เพราะฉะนั้น IRP ก็จะได้มาร์เก็ตแชร์ตรงนั้น

สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ระบุ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา IRP มีอัตราการเติบโตค่อนข้างโดดเด่น โดยตั้งแต่ปี 48 ที่เริ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จนถึงปี 51 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 26% อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปี 51 มีกำไรพิเศษจากการบันทึกค่าความนิยมติดลบในการซื้อกิจการรวมอยู่ 954 ล้านบาท ทำให้คาดปี 52 แนวโน้มกำไรสุทธิจะปรับตัวลดลง 34%yoy

แต่กำไรปกติยังคงเติบโต 8.5%yoy โดยมาจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่คาดยังคงทรงตัวได้ดี และกำลังการผลิตที่เพิ่มจากโรงงานใหม่ในสหรัฐฯ ซึ่งคาดจะเป็นปัจจัยหนุนกำไรให้เติบโตต่อเนื่องในปี 53 SCRI ประเมินราคาเหมาะสมของ IRP จาก DCF (WACC ที่ 9.3% และ LT Growth ที่ 3%)ได้ 6.40 บาท มี upside 36% และคาดระยะสั้นน่าสนใจจากเงินปันผลของปี 51 (0.24 บาท/หุ้น XD วันที่ 7 พ.ค. 52)ที่ให้ Yield 5.1%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ