นางโชติกา สวนานนท์ ในฐานะกรรมการผู้อำนวยการคนใหม่ บลจ.ไทยพาณิชย์ ประกาศเดินหน้าตามแผนธุรกิจเดิมของบริษัท แต่จะให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจเชิงรุกมากขึ้น ด้วยการให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าทั้งรายย่อย สถาบันและลูกค้าที่มีเงินลงทุนในระดับสูง โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคลอ้งกับความต้องการของผู้ถือหน่วยอย่างต่อเนื่อง เน้นกองทุนประเภทความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพทีมงานเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การจัดสรรเงินลงทุน รวมถึงการพัฒนาช่องทางการจำหน่าย นอกเหนือจากการขายผ่านสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ไม่ว่าจะเป็นการขายผ่นตัวแทน หรือช่องทางอิเลคทรอนิคส์
อย่างไรก็ดี ภายใต้การแข่งขันของธุรกิจกองทุนรวมในปีนี้ และผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำที่หาได้ยากขึ้น อาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของผู้ลงทุน ทำให้เรายังคงตั้งเป้าอัตราการขยายตัวของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร(AUM)ในปีนี้ที่ 20% ซึ่งเป็นการเติบโตแบบ Conservative จากสิ้นปี 51 ที่อยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท
นางโชติกา กล่าวต่อว่า ในปีนี้บลจ.ไทยพาณิชย์ มีแผนออกกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) เพิ่มอีก 2 กอง หลังจากที่ได้มีการออกกองทุน FIF อิตาลีไปแล้ว 1 กอง ที่มีอายุ 2 ปี โดย 2 กองใหม่ จะมีอายุของกองทุนที่สั้นลงหรือ 6 เดือน สาเหตุที่เน้นกองทุนอิตาลีเนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และยังไม่มีปัญหาสถาบันการเงินล้มเมื่อเทียบกับสหรัฐ หรือประเทศอื่น อีกทั้งยังเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่ม G7 มีจีดีพีใหญ่ถึง 9 เท่า ถือว่ามีความมั่นคง แต่อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาขนาดของกองทุนตอนนี้ยังไม่สามารถประเมินได้แต่ผลตอบแทนของกองทุนอิตาลีที่ออกใหม่จะต้องดีกว่าเงินฝากไม่ต่ำกว่า 0.5%
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะออกกองทุนอสังหาฯอีกจำนวน 2-3 กองซึ่งคาดว่าจะเห็นได้ในช่วงหลังของปี 52 โดยกองทุนอสังหาฯที่อยู่ระหว่างพิจารณา เป็น ศูนย์กระจายสินค้า โรงแรมทั้งในกทม.และต่างจังหวัดโดยขนาดของกองทุนอสังหาฯจะอยู่ที่ 1-2 พันล้านบาทต่อกอง ขณะเดียวกันผลตอบแทนที่จะออกครั้งนี้จะต้องไม่ต่ำกว่าผลตอบแทนของกองทุนอสังหาฯโดยรวมที่เฉลี่ยผลตอบแทนอยู่ที่ 7-8%
ทั้งนี้ จากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอจะเห็นว่ามีเม็ดเงินไหลเข้ามาตั้งแต่ต้นปีจำนวน 2 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากเงินฝากแบงก์ ซึ่งบริษัทคงจะบริหารพอร์ตของลูกค้าดังกล่าวโดยการจัดพอร์ตให้เหมาะสม โดยตั้งเป้าที่จะมีบัญชีลูกค่าเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบริษัทเองนั้นก็จะมีกองทุนที่ครบกำหนดไถ่ถอนอีก 4 หมื่นล้านบาท
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ทาง บลจ.ไทยพาณิชย์ประเมินว่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 440 จุด ต่ำสุดที่ 380 จุด หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ได้รับการตอบรับที่ดี โดยกลุ่มที่ให้น้ำหนักได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ พลังงาน ค้าปลีก